top of page

ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง




บึ้งใย


ต่อไปถ้าใครพูดถึง “ความรัก”

จะนึกถึงภาพเช้านี้ที่ตรงใกล้ธารน้ำร้อน

ต้องจำเจ้าบึ้งใยใต้ต้นมะพร้าวใหญ่

มันขึงใยกางติดไว้กับยอดหญ้า ขาวละเอียดเบาราวใยหมอก

ด้านบนแผ่กว้าง ตรงกลางเป็นรูลงไปเหมือนใจกลางน้ำวน

มองลึกเข้าไป ไม่เห็นอะไรนอกจากหมอกขาว

ดูนาน ๆ แล้วใจหาย เห็นเป็นถ้ำนุ่มสีขาวน่ากลัว


มดดำวิ่งผ่านบนผิวหมอกกี่ครั้งก็ไม่เกิดอะไร

แต่พอตั๊กแตนสีหญ้าแห้งดีดตัวมาจากไหนไม่ทันเห็น

เจ้าบึ้งแปดขาก็โดดเข้าคร่อมหลัง กดเขี้ยวลงที่คอ

หนวดตั๊กแตนโบกไม่เป็นส่ำ

ตาเป็นอีกเพียงอย่างเดียวที่เคลื่อนไหว

พอกระดิกนิ้วไล่ บึ้งก็ผละหนีลงรูใย

แต่มิวายโผล่หัวออกมาเฝ้าเหยื่อ

ตั๊กแตนนิ่งสนิท หนวดเท่านั้นที่ไหวติง

ยังไม่ตาย แต่เป็นอัมพาตไปแล้วเพราะพิษบึ้ง

เจ้าบึ้งงกเหยื่อปราดออกมาตะกรุมตะกรามกอดไว้ใต้อก

กอดแน่นราวกับรักสุดหัวใจ

ใครไม่รู้ก็ต้องคิดอย่างนั้น

กอดไว้กับอก จะไปทางไหนก็กอดติดไปด้วยหวงแหน

กอดไว้ดูดกินจนสิ้นเนื้อใน

เก็บร่างไว้เหมือนยังสมบูรณ์ด้วยชีวิต

ต่อไปนี้ตั๊กแตนจะไม่โดดไปไหนด้วยแข้งขา

สีหญ้าแห้งของมันอีก

เจ้าบึ้งใยจะอุ้มกอดมันเอาไว้กับอก


(จากบทบันทึก บทที่3 บึ้งใย)



คำนำ

โดย อาจารย์รัญจวน อินทรกำแหง ผู้เป็น อาจารย์ทางธรรมของคุณหญิงจำนงศรี





"ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง เป็นวรรณกรรมบันทึกที่แฝงข้อคิดและความหมายให้ต้องใคร่ครวญ เจ้าตัวเบื่อ-เจ้าตัวเหงา เป็นตัวอันตรายที่กัดกินใจมนุษย์ให้ชีวิตสิ้นสุด สิ้นความหมาย แต่น้อยนักที่มนุษย์จะรู้จักและมองเห็นมันอย่างแท้จริง ส่วนมากมองผาดแล้วเลยผ่าน ปล่อยให้มันสูบดูดพลังจากใจจนใจนั้นแห้งเหือด


ถ้าเพียงแต่ยอมสละเวลา “มองย้อนดูข้างใน” ย่อมจะเห็นได้โดยไม่ยากเลย แต่ก็อีกนั่นแหละ การมองย้อนเข้าข้างในมันไม่ชวนสนุก แล้วยังชวนให้น่ากลัว เมื่อนึกว่าอาจจะพบ “อะไร” ที่ไม่อยากพบ หรือได้รู้ “อะไร” ที่ไม่อยากรู้ ก็เลย...อย่ามองอย่าดูมันเสียดีกว่า...ปล่อยมัน ยอมให้มันเป็นทาสของความเหงา ความเบื่อต่อไป

คุณหญิงจำนงศรี รัตนิน ได้บันทึกความรู้สึกนึกคิดที่ผุดโผล่ขึ้นมาในช่วงเวลาของการฝึกปฏิบัติธรรมที่สวนโมกขพลาราม เป็นบันทึกของนักปฏิบัติธรรมที่เคยเป็นนักคิด นักเขียน นักจัดกิจกรรม ซึ่งย่อมคุ้นเคยแก่การมีจิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เป็นจิตที่คอยเฝ้ามอง...สังเกต...วิเคราะห์ วิจารณ์ จากสิ่งที่ผ่านมาโดยไม่ปล่อยให้ผ่านไป และด้วยการเทอารมณ์ลงไปในสิ่งนั้นอย่างเต็มที่


ลักษณะของจิตที่ฉลาดว่องไวต่อการพิจารณาสิ่งข้างนอกเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการฝึกปฏิบัติธรรมที่ต้องเปลี่ยนเป็นวิธีการศึกษาจากการดูข้างนอก เป็น “การย้อนดูข้างใน” อันเป็นการทวนกระแสความเคยชินที่เคยปฏิบัติมาตลอดชีวิต เป็นการต่อสู้ที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก ผู้ปฏิบัติต้องข่มขู่บังคับจิตที่ชอบแต่จะดิ้นรนออกข้างนอกให้รู้จักหยุด รู้จักนิ่ง ฝึกบังคับจิตที่เคยดิ้นแต่จะออกข้างนอก ให้เปลี่ยนเป็นย้อนเข้าดูข้างใน อันเป็นการดูที่มองแล้วก็ยากที่จะเห็น ไม่เหมือนการดูข้างนอกที่มีวัตถุ สิ่งของ ผู้คน และอื่น ๆ จิปาถะให้ได้เห็น ได้สังเกต ได้วิเคราะห์วิจารณ์ แล้วมันยังได้รับการยกย่องชมเชยเสียอีกด้วยว่า “เก่ง - ฉลาด - วิเคราะห์ได้ชัดได้ตรง” เรา นี้ช่างวิเศษจริง ๆ ! อัตตาได้เบ่งบานสมใจ !


แต่พอเปลี่ยนเป็นการย้อนดูข้างใน ไม่มีผู้ใดร่วมรู้ร่วมเห็น ไม่มีคำยกย่องชมเชย มีแต่ความเงียบ - ความดัง - แล้วก็ความดัง - ความเงียบสลับกันไปอยู่เช่นนี้ การเฝ้าดู - ติดตาม - ใคร่ครวญ ก็ยิ่งยาก...อย่างยากที่จะรู้ได้ว่าเมื่อใดความดังจะจางหาย...แล้วให้คงเหลือแต่ความเงียบ

บันทึกสั้น ๆ ๔๐ เรื่อง ของคุณหญิงจำนงศรี รัตนิน เป็นบันทึก “บอกกล่าว” ให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงสิ่งที่ เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ในจิตขณะปฏิบัติ มันช่างวนเวียนอยู่เช่นนี้ และคงจะเป็นอยู่เช่นนี้อีกนาน - นาน จนกว่า...วันหนึ่งมันจะถึงซึ่ง “ความดับ” ของความดิ้นรนต่อสู้ เพื่อที่จะ “เอา” แต่เป็นจิตที่นิ่ง - สงบ - เยือกเย็น - ผ่องใส อยู่ด้วยความอิ่มความพอ


เมื่อวันนั้น...วันแห่งความอิ่มความพอ ยังมาไม่ถึง เมื่อฝนตกจึง “ก็ยังต้อง” เมื่อฟ้าร้องจึง “ก็ยังถึง” แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สิ้นความพากเพียรพยายามที่จะขัดเกลาฝึกฝนอบรมจิตด้วยการเฝ้า “ย้อนดูข้างใน” อย่างสม่ำเสมอให้ทุกขณะแล้ว วันแห่ง “ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง” ย่อมต้องมาถึงอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไม่ต้องรอและไม่ต้องหวัง


ความไพเราะของถ้อยคำภาษาลีลาการบันทึกเรียบเรียงในลักษณะการรำพึงที่ปล่อยให้ความคิดไหลหลั่งเป็นความรู้สึก ความสัมผัสได้ในสิ่งที่คอยทยอยปรากฏในห้วงมโนนึก เป็นเสมือนการเรียงลำดับภาพให้การติดตามอ่าน การใคร่ครวญตาม และการร่วมรู้ร่วมเห็นเป็นไปได้ตามธรรมชาติ

จึงเชื่อว่า ความตั้งใจของผู้บันทึก ที่ปรารถนาจะแบ่งปันประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมเฉพาะตัวของเธอต่อผู้อ่าน จะสัมฤทธิ์ผลตามเจตนารมณ์


รัญจวน อินทรกำแหง

สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕





เรื่องเบื้องหลัง


'ฝนตกยังต้องฟ้าร้องยังถึง' เป็นงานที่ตัดตอนมาจากการบันทึกประจำวัน

ที่ผู้บันทึกพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่บันทึกระหว่างปีที่ข้าพเจ้าทิ้งกรุงไปอยู่ปา

รวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 เดือน พระพุทธองค์ทรงสอนว่าทุกข์เกิดที่ใจ การดับทุกข์

จึงต้องดับที่ใจ แต่ความอุดมด้านสังคมและวัตถุของชีวิตคนกรุงมักจะชวนให้อาศัย

เพื่อนฝูงและเงินทองมาช่วยแก้ทุกข์ ลืมทุกข์ หรือเผชิญทุกข์ด้วยวิธีที่ทำให้เกิด

ปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกเป็นหาง


ในปี พ.ศ. 2533 ข้าพเจ้าถูกรุมเร้าด้วยปัญหาต่างๆที่รุ่มร้อนและแก้ไขยาก

แรกๆ ก็ต่อสู้ ต่อมาพยายามคิดหาทางออก เมื่อไม่สำเร็จทั้งการต่อสู้และการหา

ทางออกก็กลับกลายเป็นการนึกคิดที่เวียนวนไม่รู้หยุดถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าได้ทำใน

สิ่งที่ทำให้รู้สึกขอบใจตัวเองมาจนทุกวันนี้คือตัดสินใจออกไปให้ไกลญาติ

ไกลเพื่อนไกลบ้านเรือนเพื่ออยู่ป่าอาศัยวัดไม่ใช่เพื่อหนีปัญหา แต่เพื่อฝึกสติ

สร้างความเข้าใจที่จะช่วยให้จิตใจเยือกเย็นพอที่จะกลับมาจัดการกับปัญหาต่างๆ

ได้อย่างมีเมตตากับทั้งตัวเองและคนอื่น


ป่าแรกที่ไปอยู่อย่างจริงจังคือที่วัดสวนโมกข์หรือสวนโมกขพลาราม ซึ่งอยู่

ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในเดือนตุลาคม 2533 ที่ข้าพเจ้าไปถึงเป็น

ครั้งแรกนั้นท่านอาจารย์พุทธทาสเริ่มอาพาธบ่อยครั้งแล้ว


ในช่วงต้นๆข้าพเจ้าอยู่ไชยาครั้งละประมาณ 7 ถึง 10 วัน เพื่อเข้าอบรม

อานาปานสติที่สวนโมกข์นานาชาติสถานที่นี้ท่านอาจารย์พุทธทาสจัดไว้ เพื่อฝึก

การปฏิบัติกรรมฐานในแนวพุทธให้กับคนทุกชาติทุกศาสนา ตั้งอยู่ห่างจากตัว

สวนโมกขพลารามถึง 2 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 150 ไร่ โอบล้อมด้วยทิวเขาที่มองเห็น

อยู่ไม่ไกล มีธารน้ำร้อนไหลผ่าน เป็นสวนมะพร้าวอันแสนสงบอบอุ่นด้วยชีวิต

สัตว์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นนก ผีเสื้อ มด แมง กบเขียด หรืองูนานาชนิด


สิ่งแวดล้อมที่ชุ่มชื่นงดงามกับการอบรมที่มุ่งให้เข้าถึงธรรมชาติของกายใจ ทำให้

เกิดความสัมพันธ์ฉันมิตรกับสัตว์เหล่านี้ ทำให้เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้มาก่อนเรา

อยู่มานาน เกิด ตาย สืบเผ่า สานพันธุ์กันมาหลายช่วงชีวิต เขากับเราเป็น

หนึ่งเดียวในวังวนแห่งการแสวงสุข การหลีกทุกข์ และความไม่เที่ยงแท้ทั้งปวง


ในช่วงนั้นทางสวนโมกข์ได้จัดการอบรมที่สวนโมกข์นานาชาติเป็นภาษาไทย

เดือนละครั้ง ภาษาอังกฤษอีกเดือนละครั้งครั้งละ 10 วัน เวลา 04.30 นาฬิกา

ผู้เข้าอบรมก็จะเดินมาที่สวนโมกขพลารามเพื่อฟังการเทศน์ของท่านอาจารย์

พุทธทาส


ท่านอาจารย์ตรงต่อเวลามาก ท่านจะเริ่มเทศน์เวลาตีห้าตรงที่ลานหน้ากูฏิ

คนทั่วไปเรียกลานนี้ว่า "ลานม้าหิน" เพราะมีม้านั่งหินขัดตั้งให้คนนั่งฟังเทศน์

แต่ข้าพเจ้าเรียกลานนี้ในใจว่า "ลานกรรณิการ์" เพราะมีต้นกรรณิการ์ที่ออก

ดอกเล็กกลีบขาวมีสีส้มแซมเป็นไส้กระจายกลิ่นหอมในยามเช้าและจนทุกวันนี้

ก็ยังจำคำท่านอาจารย์ที่ว่าดอกกรรณิการ์เป็นดอกไม้อินเดีย เป็นดอกไม้ของ

พระพุทธเจ้า เมื่อมีใครเอ่ยถึงดอกกรรณิการ์ข้าพเจ้าก็ยังนึกถึงลานนั้นทุกครั้งไป


การเทศน์แก่ผู้เช้าอบรมจะเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทใช้เวลาจากตีห้าจนถึง

โมงเช้า ต่อเนื่องกันจาก 3 วันถึง 5 วัน ขึ้นอยู่กับสุขภาพของท่านอาจารย์ และ

ภาษาของผู้เข้าอบรม ถ้าเป็นภาษาไทยก็อาจจะใช้เวลาเพียง 3 วัน แต่ถ้าจะต้อง

มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยพระสงฆ์ชาวตะวันตกก็อาจจะถึง 5 วัน


แรกๆ ที่ยังไม่ชินกับการชิงตะวันตื่นนั้น ข้าพเจ้าฟังเทศน์ไม่รู้เรื่องนัก

เพราะฟังเป็นช่วงๆเรียกได้ว่าฟังเป็นช่วงสั้นๆ สลับกับการเคลิ้มหลับเป็นช่วงยาวๆ

ต่อๆ มาช่วงตื่นก็จะยาวขึ้น ผู้ที่ช่วยให้ข้าพเจ้าตื่นเป็นช่วงยาวๆและ

ในที่สุดก็ไม่นั่งหลับอีกเลยได้ คือบรรดาหมาและไก่วัดที่มักจะวุ่นวายกันอยู่ในบริเวณนั้น


เมื่อข้าพเจ้าเข้าอบรมถึงครั้งที่ 6 ก็เกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นเสมือน

การค้นคว้าที่ต้องการความต่อเนื่อง จึงเรียนอาจารย์คุณรัญจวน อินทรกำแหง

ผู้เป็นอาจารย์ว่าจะขอมาอยู่สวนโมกขพลารามต่ออีกสัก 1 เดือน คำตอบจาก

อาจารย์ก็คือ ถ้าจะอยู่ก็อยู่ไปวันต่อวันไม่ต้องกำหนดว่าจะอยู่นานสักเท่าใด


เมื่อทำตามคำของอาจารย์ก็ปรากฎว่าวันต่อวันที่ว่านั้นต่อเนื่องกันไป

นานถึง 3 เดือน และคงจะนานกว่านั้นถ้าไม่ถูกเรียกกลับมาทำธุระที่รอเวลาไม่ได้

ในกรุงเทพฯ อาจพูดได้ว่า 3 เดือนนั้น เป็นช่วงการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต

เป็นการเรียนรู้จากภายใน มิใช่จากการบอกเล่า


ท่านอาจารย์พุทธทาสอนุญาตให้ข้าพเจ้าอยู่ในเขตอุบาสิกาที่สวนโมกขพลาราม

โดยให้ปฏิบัติธรรมภายใต้การดูแลของอาจารย์คุณรัญจวนอาจารย์คงเห็น

ว่าข้าพเจ้าตั้งใจที่จะฝึกอย่างเข้มข้นจึงจัดให้ไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ต้องพบปะ

พูดจากับผู้ใด ไม่ให้พูด ไม่ให้เขียน ให้รับรู้อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ

แต่อย่างเดียว


การไม่พูดเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการศึกษาธรรมชาติภายใน เพราะเปิด

โอกาสให้รับรู้อาการของการรู้สึกนึกคิดอย่างต่อเนื่อง ให้ได้เห็นว่าการหยุดคิดนั้น

เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ถึงแม้จะแยกไปอยู่แต่ผู้เดียวไม่มีใครให้พูดด้วย แต่ใจ

นั้นหาได้หยุดพูดไม่ วันแล้ววันเล่า นอกจากนั้นยังช่างเร่งเร้าให้สื่อสาร


ไม่สื่อด้วยวาจาออกมาเป็นคำพูด ก็ขอให้ได้จับปากกาสื่อออกมาเป็นตัวอักษร ไม่คุยกับคนคุยกับหน้ากระดาษก็ยังดี นี่คือที่มาของ 'ฝนตกยังต้องฟ้าร้องยังถึง'เดือนแรกที่สวนโมกขพลารามเป็นช่วงที่ใจยังวุ่นวายเหมือนสัตว์เขี้ยวสัตว์เล็บ ที่ยังพล่านชนกรงที่ขังมันไว้ ป่าสูงของสวนโมกข์มีส่วนช่วยให้มันเชื่องลง

สิ่งแวดล้อมที่นี่แตกต่างจากที่สวนโมกข์นานาชาติมากสวนโมกขพลาราม

ร่มครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่เสียงป่าดังชัดอยู่รอบตัว ที่นี่ข้าพเจ้าได้พบแมงป่องช้าง

ตัวเท่าฝ่ามือผู้ชายเป็นครั้งแรกในชีวิต นอกจากนั้นยังอยู่ร่วมบ้านกับแมงมุมตัว

มหึมา ตุ๊กแกขนาดวัดหัวถึงหางได้ยาวร่วมฟุต ไม่นับหนูตัวโตๆ ที่วิ่งเข้านอกออก

ในเป็นว่าเล่น ที่นี่ข้าพเจ้าได้คุ้นเคยกับหมาแมวจำนวนมาก ที่ถูกนำมาปล่อยวัด

สัตว์ที่ไม่มีผู้ใดต้องการเหล่านี้ มีส่วนสำคัญในการดึงเอาการเกิด การแสวงหา

การรัก อิจฉา ผูกพัน ตลอดจนความเจ็บ และความตาย เข้ามาใกล้ ให้รู้ชัดถึงใจ

ว่าข้าพเจ้าเองก็วนอยู่ในวงเวียนเดียวกันนี้


ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ชีวิตข้าพเจ้าดูไม่สำคัญอย่างเอกอุ อย่างที่เคยรู้สึกในเมืองหลวง เมื่อความสำคัญของชีวิตงวดลง ความทุกข์จากปัญหาของชีวิตก็ลดถอยลงตามสัดส่วน ใจก็นิ่งขึ้นทำให้การฝึกสติง่ายขึ้นกว่าเดิม

ในเดือนแรกนั้นยังไม่เกิดความอยากจะจับปากกา คงจะเป็นเพราะจิตใจ

ยังสับสน เดือนที่ 2 จึงอยากเขียน และอยากมากขึ้นจนถึงขั้นที่จะอดกลั้นเพียงใด

ก็ไม่สำเร็จ ทั้งๆ อาจารย์คุณรัญจวนตักเตือนเสมอว่า เมื่อพักการพูดก็ควรพักการ

เขียนด้วย เพราะเป็นการสื่อออกภายนอกเหมือนกัน ข้าพเจ้าเขียนบันทึกความ

นึกคิดทุกวันอยู่เดือนเศษ ก็หมดความอยากเขียนไปเฉยๆ


เมื่อ ตรัสวิน จิตติเดซารักษ์ แห่งสำนักพิมพ์ตัวไหม ทราบว่ามีบันทึกฉบับนี้

ก็นำไปตีพิมพ์เป็นเล่มใน พ.ศ. 2535 โดยเลือกตัดตอนมาเป็นแต่ละบทผู้อ่าน

หลายท่านถามถึงที่มาของชื่อหนังสือ ที่สวนโมกขพลารามมีสระน้ำที่ท่านอาจารย์

พุทธทาสให้ขุดไว้ มีเกาะเล็กๆ อยู่กลาง บนเกาะมีต้นไม้อยู่เพียงต้นเดียวคือ

ต้นมะพร้าว ท่านเรียกสระนั้นว่า "สระนาฬิเก" ตามเพลงกล่อมเด็กเก่าแก่ของ

ปักษ์ใต้ที่มีเนื้อร้องว่า "คือน้องเหอ คือพร้าวนาฟิเกต้นเดียวโนเน อยู่กลางเล

ขี้ผึ้งฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง อยู่กลางเลขี้ผึ้ง ไปถึงแต่ผู้พ้นบุญ”


มะพร้าวนาฬิเกเป็นมะพร้าวพันธุ์หนึ่งที่มีอยู่ในภาคใต้ ท่านอาจารย์พุทธทาส

อธิบายไว้ว่ามะพร้าวนาฬิเกในบทเพลงนี้ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของพระนิพพาน

พระนิพพานมิใช่สถานที่ใดที่หนึ่ง แต่อยู่ในใจของมนุษย์นั่นเอง อยู่กลางทะเล

ขี้ผึ้งซึ่งหมายถึงจิตใจของปุถุชนมีธรรมชาติที่ผันแปรเหมือนขี้ผึ้ง เดี๋ยวแข็ง

เดี๋ยวเหลวขึ้นอยู่กับความเย็น ความร้อน ที่มากระทบ


แต่ต้นมะพร้าวนาฬิเกที่โดดเดี่ยวอยู่บนเกาะกลางทะเลขี้ผึ้งนั้น ไม่ผันแปร

แม้ฝนจะตกก็ไม่เปียก ฟ้าจะร้องก็ไม่สะเทือน คือ "ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง"

เป็นสภาวะของผู้พันบุญผู้พันบุญในที่นี้หมายถึงผู้ที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ แล้ว

แม้กระทั่งบุญ หรือจะพูดว่าผู้ที่ปล่อยวางแล้วอย่างสมบูรณ์ก็ได้


ในฐานะผู้แสวงธรรมที่ยังเวียนว่ายอยู่ในทะเลขี้ผึ้งข้าพเจ้าจึงได้ตั้งชีอ

หนังสือว่า "ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง”


สำหรับ "เขาพุทธทอง" ในบทที่ชื่อ "วันวิสาขะ" นั้นคือ โบสถ์ของ

สวนโมกขพลารามอยู่บนยอดเขาที่ไม่สูงนัก มีพระประธานเป็นปูนปั้นองค์

ขาวบริสุทธิ์ มีขอบขันธ์เสมาพร้อม แต่ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ เป็นโบสถ์ธรรมชาติ

เหมือนในสมัยพุทธกาล เป็นสถานที่ที่งดงามตามธรรมชาติล้อมรอบด้วยป่าสูง


ข้าพเจ้ากลับกรุงเทพฯหลังจาก 3 เดือน ของการเรียนรู้ด้านปฏิบัติที่สวน

โมกขพลารามโดยตั้งใจว่าจะกลับไปอยู่สวนโมกข์ต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่อาจารย์

คุณรัญจวนเห็นว่าข้าพเจ้าเริ่มติดสำนักติดอาจารย์ เริ่มมีอุปาทานว่าสำนักเรานี้

ดีกว่าสำนักอื่นใด ท่านจึงแนะนำให้ไปปฏิบัติต่อที่วัดป่าทางภาคอีสาน เพื่อที่จะได้

มุมมองที่หลากหลายและมีใจที่เปิดกว้าง


เมื่อไปกราบลาท่านอาจารย์พุทธทาส พร้อมกับเรียนท่านว่าจะไปปฏิบัติธรรม

ต่อที่ภาคอีสาน ท่านอาจารย์ใช้เวลานานนับชั่วโมงในการเทศน์ด้านการปฏิบัติ

และการตอบคำถามต่างๆ อย่างละเอียดลออ แตกต่างจากเมื่อสมัยแรกๆ ที่ข้าพเจ้า

ไปถึง ทั้งนี้เพราะท่านพูดเสมอว่าการเรียนรู้นั้นต้องมีภาคปฏิบัติเป็นสำคัญ

เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วก็จะมีพื้นฐานในการซักถาม ให้ได้ประโยชน์อย่างจริงจัง


ข้าพเจ้าได้กลับไปนมัสการท่านอาจารย์พุทธทาสอีกเพียง 2-3 ครั้ง ก่อนที่

ท่านจะถึงแก่มรณภาพ ครั้งหนึ่งหลังจากที่ท่านได้อ่าน 'ฝนตกยังต้องฟ้ายังถึง'

แล้วท่านมีเมตตาเอ่ยปากชมว่าดี เขียนได้ดี เป็นประโยชน์ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกโล่งใจ


และครั้งสุดท้ายก็คือการกราบอำลาท่านอาจารย์พุทธทาสที่เชิงตะกอน

บนเขาพุทธทอง ได้เห็นภาพเปลวไฟสีเหลืองร้อนแรงแลบเลียขึ้นสู้กับสายฝนที่

โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน พร้อมกับได้ยินเสียงของท่านอาจารย์เอง

เทศน์เรื่องความตายจากเทปที่บันทึกไว้ ในขณะที่กายท่านกำลังถูกเพลิงไหม้

จนเหลือแต่เถ้าถ่าน


ได้จำติดไว้ในใจว่า ท่านอาจารย์ท่านสอนมรณสติจนวินาทีสุดท้าย


คุณหญิงจำนงศรี รัตนิน หาญเจนลักษณ์

............................................................................................................................................................................................................................................................

ข้อมูลหนังสือ

ผู้เขียน: คุณหญิงจำนงศรี รัตนิน หาญเจนลักษณ์

พิมพ์ครั้งที่ 1 สำนักพิมพ์ตัวไหม 2535

พิมพ์ครั้งที่ 2 สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก มีนาคม 2539

พิมพ์ครั้งที่ 3 สำนักพิมพ์ทองพลุ ธันวาคม 2548

พิมพ์ครั้งที่ 4 สำนักพิมพ์ทองพลุ มกราคม 2549

พิมพ์ครั้งที่ 5 Paega Publishing ตุลาคม 2558



ดู 8 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ที่คล้ายกัน

ดูทั้งหมด
bottom of page