top of page

การบูรณาการแนวคิด วิธีการ หรือศิลปะ

เพื่อเข้าสู่เป้าหมายของความเป็นมนุษย์อย่างที่มีคุณค่า


คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์



ภาพของ คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์


สวัสดีค่ะ ขอบคุณมากที่มาฟังกันนะ ทราบว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของคอร์สนี้ใช่มั้ยคะ ก่อนอื่นนะคะ เดี๋ยวนี้จะไปพูดที่ไหนต้องประกาศอายุซะก่อน เพราะว่าถ้าหลงลืมอะไร ตกหล่นอะไร ทำอะไรผู้ฟังจะได้ยกโทษให้ อายุ 75 นะคะ เพราะฉะนั้นเข้าใจว่าเป็นคุณยายหนูๆ ได้อย่างสบายเลย หลานชายคนโตตอนนี้อายุ 22 ทำงานธนาคารเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าคนแก่ทำอะไรเป๋อเหลอ ไม่เข้าเรื่อง ยกมือเลยนะคะ ค้านทันทีเลยนะ ชอบทะเลาะกับเด็กนะคะ แล้วก็ดีใจที่วันนี้มีหลายคณะมาก นี่จะใส่แว่นก็ไม่ค่อยจะถนัด


รู้มั้ยว่าทำไมคนแก่สายตามันเลวลงเรื่อยๆ เพราะธรรมชาติช่วยมนุษย์ว่า ยิ่งเหี่ยวลง เหี่ยวลง ส่องกระจกถ้าเห็นชัดนัก มันช็อก เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเลยครูใน 75 ปี ทำให้กลับมาเห็นว่าธรรมชาติ เป็นสิ่งที่วิเศษมากเลย เขาจัดการตัวเขาเองหมดนะ จะเกิดมานี่หนูไม่ได้จัดการอะไรตัวเองเลย แม่หนูจริงๆ ก็แค่อุ้มหนูในท้องไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ออกมาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็โตขึ้น มาเรียนวิศวะได้ เรียนเภสัชได้ เรียนอะไรต่ออะไรได้ โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ และเสร็จแล้วก็แก่ลง แล้วก็ตาย ธรรมชาติทั้งนั้นจัดการให้


บางทีเราลืมนะ เราลืมกลับไปหาส่วนนี้ คอร์สนี้เป็นคอร์สที่เข้าใจว่าทำให้กลับมาเห็นศักยภาพของตัวเองมาตลอดใช่ไหมคะ เข้าใจว่าวิทยากรอื่นๆ ก็ได้เข้ามาพูดถึง ชี้ให้เห็นศักยภาพของมนุษย์น่ะเราทำอะไรได้บ้าง คราวนี้ครูวันนี้มีหน้าที่มาให้เห็นว่ามนุษย์เรานี่พอเก่งขึ้น ทำเรื่องภายนอกมากขึ้น มันลืมไปว่ามันหลอกตัวเองเยอะเลย ครูก็มีหน้าที่วันนี้มากระชากลงสักหน่อย เพราะว่าจริงๆ แล้วถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง เรามีสิทธิ์ทุกข์เยอะ เพราะว่าเราหลงไปกับสิ่งภายนอกเยอะ


ทีนี้จะเล่าให้ฟังว่าครูเป็นนักธุรกิจด้วยนะคะ เป็นประธานกรรมการโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตาในกรุงเทพ นัยๆ ว่าเราได้รับการกล่าวถึงอย่างมากมายว่า เป็นโรงพยาบาลตาที่สมบูรณแบบที่สุดเฉพาะตาไม่ทำอะไรเลย ตาอย่างเดียวเลยทุกอย่าง จะบอกว่านอกจากจะเป็นนักเขียนแล้ว บางทีการเป็นนักธุรกิจด้วยและธุรกิจทางด้านสุขภาพด้วย มันรวมอะไรหลายๆ อย่างให้ได้เห็น


ขณะนี้ทางโรงพยาบาลเรากำลังมีวิกฤติการเปลี่ยนแปลงทางด้านผู้บริหารซึ่งครูต้องเข้าไปเจาะแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ แก้ปัญหาอะไรมากมาย เพราะฉะนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่หลายๆ คนมองว่า เป็นนักปรัชญาโดยธรรมชาติ บางทีอันนั้นอาจจะอยู่กับความคิดมากไป จริงๆ แล้วชีวิตมันไม่ได้อยู่แค่นั้น มันต้องทำมาหากิน มันต้องแก้ปัญหาบริหาร มันต้องแก้ปัญหาการขัดแย้งระหว่างคน สิ่งเหล่านี้ครูก็รวมๆ มานะ แล้วก็เอามาคุยเท่าที่จะคุยได้นะคะ


เมื่อสองวันนี้เพิ่งไปพูดกับสถาบันพระปกเกล้าในคอร์สผู้นำรุ่นใหม่ ครูเล่นหัวข้อว่า มองหน้าอัตตามหันตภัยผู้นำ คราวนี้หนูๆ ทั้งหลายในที่นี้สักวันหนึ่งเชื่อว่าต่อไปก็จะได้เป็น คำว่าผู้นำไม่ได้หมายความว่าผู้นำที่มีลูกน้องมากมาย แต่ผู้นำที่นำโลกนี้ให้ก้าวไปสู่ความสมดุลมากขึ้น เราจะเป็นผู้นำทางความคิดไม่มากก็น้อย สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดกับเราคืออัตตา พังเพราะอัตตาหมดเลยผู้บริหารของเราเมื่อเร็วๆ นี้


การล่มสลายอาจจะต้องออก อาจจะต้องเปลี่ยน เพราะว่ามาถึงจุดหนึ่งลืมมองตัวเอง ครูนี่ในชีวิตผ่านทุกข์และวิกฤติมาเยอะมาก ในช่วงนึงของชีวิตตอนอายุซัก 40 ปลายๆ ถึงจุดแทบจะฆ่าตัวตาย แล้วในจุดที่ทุกข์มากๆ เราถอยออกมาจากตัวเอง พอเราถอยออกมาจากตัวเอง งานเขียนชิ้นที่เขียนในช่วงนั้น คือเขียนออกมาแล้วไอ้ที่ทุกข์หนักๆ ใครนะที่มันทุกข์ แค่จรดปากกาแล้วความคิดมันไหลออกมาเองจากใจเรา เพราะมนุษย์เราทุกคนมีศักยภาพลึกๆ อยู่ในใจ เราซ่อนเอาไว้แล้วเราไม่รู้ตัว วันนี้เราจะลองคุยกันทั้งจุดบวกและจุดลบของอัตตาตัวนี้ จะอ่านงานชิ้นนี้ให้ฟังนะคะ


มนุษย์สร้างหน้ากาก

ให้วิญญาณของตน

เขามองหน้ากากนั้น

และบอกว่า “ฉันรู้จักตนเอง”


คือเวลาเราคิดถึงว่าฉันรู้จักตัวเอง เราสร้างภาพให้ตัวเองหรือเปล่า บทที่สองอันนี้น่าสนใจมาก ใครคิดว่าตัวเองเคยเห็นหน้าตัวเอง ถ้าใครคิดอย่างนั้นนะ ไม่จริง ไม่มีใครในห้องนี้เคยเห็นหน้าตัวเองหรอก เราเห็นแต่กระจกที่สะท้อนให้เราเห็นจริงไหม จริง และไอ้กระจกนั้นมันจริงแค่ไหน มันอยู่ที่คุณภาพความละเอียดของกระจกจริงไหม และมันขึ้นกับแสงจริงไหม หนูลองเอาไฟฉายส่องใต้คางตัวเอง แล้วดูกระจกน่ากลัวพิลึกเลย ส่องทางนี้มันอีกหน้านึง เพราะฉะนั้นไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้าตัวเอง ในความทุกข์ที่สุด ทุกข์ถึงขั้นที่ว่าไม่ไหวแล้ว ฉันจะบ้าฉันจะฆ่าตัวตาย ความฉลาดของจิตเรามันถอย มันถอยให้เห็นว่าแล้วนี่อะไรกันวะ

มนุษย์สร้างกระจกให้ตาของตน

เขามองเงาใกระจกนั้น

แล้วบอกว่า “ ฉันเห็นตัวฉันเอง”

มนุษย์สร้างรูปลักษณ์ให้กับความคิดของตน

เขาชี้รูปลักษณ์เหล่านั้น

แล้วบอกว่า “นี่ฉันรัก นั่นฉันเกลียด”


มีใช่ไหม ทุกคนมี ฉันรักคนนี้ ฉันเกลียดคนนั้น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่มากระทบเรา แล้วเราคิดต่อเกี่ยวกับคนคนนั้น สิ่งที่มากระทบเรา แล้วเราคิดต่อเกี่ยวกับคนนี้ เขาทำให้เราพอใจคิดต่ออย่างนั้น เขาทำให้เราไม่พอใจ คิดต่ออย่างนี้ บางที่เราเปลืองใจมากมายกับความเกลียด ความโกรธ บางที่เราเปลืองใจมากมายเกี่ยวกับความรักและผิดหวังใช่ไหมคะ ถ้าเราสามารถถอยออกมาได้ เราไม่ได้พ้นสิ่งเหล่านี้นะ แต่มันทำให้มีสติคิด เวลาเราลึกเข้าไปในความเกลียดจริงๆ หรือความรักจริงๆ มีบทสุดท้าย ครูอยากจะให้มีผู้นำทางความคิด อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่ยิ่งใหญ่นะถ้าคุณเปลี่ยนคนได้ เพราะว่าคนก็คือองค์ประกอบที่สำคัญของโลกที่เราอยู่กัน อีกอันนึงนะคะอันนี้อันสุดท้าย อันนี้ทำให้ครูหลุดจากความทุกข์มาเยอะมากเลยนะ


มนุษย์สร้างมายาให้กับชีวิตของตน

เขาหลงเข้าไปในมายานั้น

และรำพันว่า

“นี่คือความสุข นี่คือความทุกข์”


ลองไปพิจารณดูให้ดีมันอยู่ในนี้ทั้งนั้นนะคะ บทนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า Mirage ภาษาไทยเค้าแปลว่ามายา จริงๆ แล้วในชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรที่มันอยู่กับเราตลอดตั้งแต่เกิดจนตายเลย ฟังแล้วต้องพิจารณานะคะ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ตั้งแต่คลอดมานี่ คุณมีความสัมพันธ์ทันทีเลย แม่คุณกับสิ่งแวดล้อมกับความหนาวความร้อนกับเตียงนอนของคุณ กับทุกอย่างเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทั้งสิ้น


โตขึ้นมาคุณก็ตลอดเลยจนตายเลย เรื่องของความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์กับอะไร ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองใช่มั้ย เมื่อกี้นี้เราพูดถึงมายา คุณโยงมาที่นี่ได้เลย ร่างกายของตัวเอง ถูกมั้ย กับร่างกายของตัวเองนี่ตลอดเวลาเลย ตลอดวัน เดี๋ยวก็ไปฉี่ เดี๋ยวก็คันตรงนี้ ฉันหน้าตาเป็นยังไงเดี๋ยวเพื่อนเห็นฉันยังไง วันนี้แต่งตัวยังไง เป็นห่วงมัน คืออินกับมัน แต่จริงๆ ถ้าคุณมีแต่ร่างกาย แต่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด คุณไม่รู้เกี่ยวกับร่างกายคุณหรอก มันมีความสัมพันธ์กับอื่นๆ คือคนอื่นและสิ่งแวดล้อมและอะไรต่างๆ


อันสุดท้ายคือหน้าที่ของฉัน จริงๆ แล้วเรื่องหน้าที่ทำให้คุณมั่นคงนะ ถ้าคุณทำตามหน้าที่ของคุณได้ ความมั่นคงมันจะอยู่ ถ้าเลอะๆ เทอะๆ ถึงเวลามาไม่มา ถึงเวลานอนไม่นอน ไอ้ตรงนี้ความมั่นคงมันไม่มี เพราะฉะนั้นหน้าที่ต่อร่างกายของตนเอง มันมีหน้าที่ต่อคนอื่น แต่แล้วมันก็เป็นความสัมพันธ์ทั้งหมด จากเกิดจนตาย


ทีนี้เราก็จะมาย้อนในเรื่องของมายา มันเป็นเรื่องของความคาดหวังกับความผิดหวัง สิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นกับเรา มันไม่ได้สำคัญอยู่ที่สิ่งที่เกิดขึ้น มันสำคัญอยู่ที่ว่าข้างในเราเป็นอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของความคาดหวัง ความผิดหวัง ในชีวิตเรา เราจะคาดหวังอยู่ตลอดเวลา

มีพระองค์หนึ่งบอกว่าเราเขียนสคริปให้ตัวเองทุกวัน เช่นเราจะเข้าไปพบใคร เราเขียนสคริปไว้ก่อนว่า แล้วมันจะเป็นยังไง ถ้าเป็นคนนี้เราเข้าไปพูดต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ เลย นั่นคือความคาดหวัง แล้วฉันจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก พระท่านบอกว่ามันไม่เป็นไรหรอก อะไรเกิดขึ้นแต่สิ่งสำคัญคือข้างในเราเป็นอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ทีนี้ในชีวิตเรามันมีเรื่องที่เกี่ยวกับ how we are with ตัวเอง มันจะมีคนบางคนที่เกรงใจคนอื่นเขาไปหมดเลย แล้วเบียดเบียนตัวเอง แล้วบางคนที่เกรงใจตัวเองเหลือเกินจนเบียดเบียนคนอื่น อันนี้ก็น่าคิดนะ มันทุกข์ทั้งสองฝั่งมันสร้างปัญหาทั้งสองอย่าง บางครั้งเราต้องอยู่กับตัวของเราเอง แล้วรู้ว่าอะไรมันกำลังพอดี เวลาอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เราทุกข์ เรากังวล เราสับสน เราจะไม่รู้ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร


แต่ถ้าอะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วเราถอยมาดู นิ่ง เราจะรู้ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร อันนี้พูดจากประสบการณ์ตัวเองเลยนะ จนบัดนี้ก็มีหลายอย่างที่กังวล ร้อนจนทำอะไรไม่ถูก และตัดสินใจมักจะผิด แต่ถ้าถอยออกมาสักนิด ดูมัน สมมุติว่าเรื่องนี้เกิดกับคนที่ไม่ใช่ฉัน มันเกิดขึ้นกับเพื่อนรักของฉัน ฉันจะแนะนำเขาอย่างไร


อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ตาม อกหักหรือว่าทุกข์ร้อนเรื่องอะไรก็ตามแก้ปัญหาไม่ตก คุณถอยออกมาเลย แล้วมองคนนี้เหมือนกับเพื่อนรักของคุณ คนที่คุณรักที่สุด แล้วฉันจะช่วยเขาอย่างไร อันนี้คือเทคนิคของการถอยออกมาจากตัวกูของกูคืออัตตานั่นเอง คือวันนี้พูดเรื่องอัตตาทั้งสิ้นเลยนะคะ อัตตาในรูปแบบต่างๆ เพราะว่ามนุษย์เราเกิดมามันมีช่วงชีวิตนึง แล้วคุณจะผ่านอะไรสารพัด คนที่ไม่เจอะความทุกข์เลย จะเหลือเชื่อแต่ก็จะเป็นคนที่โชคดีมาก และอาจจะโชคร้ายด้วย เพราะคุณจะไม่มีโอกาสที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง



Photo by Khunying Chamnongsri Hanchanlash


ส่วนใหญ่ของเราจะมีช่วงที่เราเจอทุกข์เจอปัญหา อันนี้จะเป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย โชคดีที่คุณถอยออกมาแล้วคิดว่าเหตุของสิ่งนี้คืออะไร และฉันจะแนะนำเพื่อนของฉันว่าอย่างไร และทำไมถึงแนะนำว่าอย่างนั้น คุณจะเริ่มเห็นในสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า ทุกข์ ถ้าคุณไม่เห็นทุกข์ คุณจะไม่เข้าไปค้นเหตุของทุกข์ และภาษาพระเรียกว่าสมุทัย คือเหตุของทุกข์ เหตุของทุกข์นี่ ในที่สุดคุณค้นไปค้นมานี่ มันอยู่ที่ตัวคุณเอง ฉันอยาก ฉันไม่อยาก ฉันชอบ ฉันไม่ชอบ ฉันเอา ฉันไม่เอา นี่คือเหตุของทุกข์เลย ตัวที่เรียกว่าสมุทัยคือตัวกูและของกู คุณทุกข์เมื่อไหร่ คุณถอยออกมา ว่าแล้วเหตุของทุกข์ที่มันอยู่ในตัวฉัน ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นนะ


คุณจะเห็นทุกครั้งเลยว่า มันเป็นของฉัน ฉันอยาก ฉันไม่อยาก มันมาโดนกับของฉัน ฉันไม่ชอบ ฉันชอบ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นจากเหตุอันนี้ทั้งหมด สิ่งที่มากระทบเราข้างนอกมันมีผลอะไรกับอันนี้ แม้กระทั่งความเจ็บปวดทางกาย มันเป็นทุกข์ บางทีมันแก้ไม่ได้ แต่ทุกข์ทางการคิดเกี่ยวกับมันนี่น่าสนใจ คุณยิ่งคิดหรือยิ่งกลัวความเจ็บ และคิดไปข้างหน้า แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป กล้ามเนื้อมันจะเกร็งและสารบางอย่างในสมองมันจะหลั่ง ทำให้เกร็งขึ้นเพื่อสู้หรือเพื่อหนี เมื่อเกร็งขึ้นความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ แพทย์รู้ดี เพราะฉะนั้นถ้าคุณคลายได้ แต่จะคลายได้ไง ก็ต้องเริ่มที่ใจก่อน ถ้าคุณไม่ได้คลายที่ใจ ไอ้สารมันจะทำให้เกร็งกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นมันจะเจ็บขึ้น เจ็บขึ้น นี่คือทุกข์ทางกายที่มันก็มาจากใจ


เราจะพูดต่อในเรื่องชีวิตประจำวัน คือเรื่องของความสัมพันธ์กับความคิด ความรู้สึกของเรากับร่างกายเรา เราจะมาหาสิ่งที่คนไทยเราทำบ่อยมากและทำตลอดเวลาคือ การใส่บาตร

ครูอยากจะถามว่า เวลาใส่บาตรหรือให้อะไรใคร หรือทำบุญ คิดอะไรอยู่ ใครตอบได้บ้าง อยากมีความสุขใช่ไหมคะ คุณเคยได้ยินคำพูดอันหนึ่งของท่านอาจารย์พุทธทาสมั้ย ทำบุญเพื่อให้ตัวเองดีใจ หรือทำบุญเพื่อให้ใจเราดี

คนส่วนใหญ่ใส่บาตร อาจจะใส่เพื่อให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วมีความสุข หรือใส่บาตรเพื่อว่าฉันจะได้อุดมสมบูรณ์ภายหน้า หรือใส่บาตรเพื่อจะได้มีความสุขสบายใจในวันนี้ ว่าได้ทำสิ่งที่ดีงามไปแล้ว จริงๆ แล้วถ้าดูให้ดี มันเพื่อตัวเองทั้งสิ้น เพื่อฉัน ฉันจะได้บุญ ฉันจะได้มีความสุข พ่อแม่จะได้ได้รับผลบุญอันนี้ พักนี้มันทุกข์เหลือเกิน ไปใส่บุญฉันจะได้ใจสบาย จริงมั้ย ฐานอยู่ที่ฉันทั้งสิ้น มันก็ทำให้การรักตัวฉันลึกขึ้น ลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยคุณทำน้ำหยดตรงนี้ คุณมองไม่เห็นแต่พอมันเริ่มหยดหลายครั้ง มันเริ่มเป็นรอย


เพราะฉะนั้นในชีวิตของเรา เราทำอะไร เราฝึกใจทุกครั้งที่เราทำ และทุกครั้งที่เราคิด จริงๆ แล้วเวลาคุณใส่บาตร คุณคิดถึงพระบ้างไหม เวลาคุณใส่พระองค์นี้ท่านได้ฉันอันนี้แล้วร่างกายท่านจะแข็งแรงขึ้น คือเพื่อท่าน โดยที่ไม่มีหวังอะไรเลย เกี่ยวกับฉันจะสบายใจ หรือว่าฉันจะได้บุญ หรือว่าพ่อแม่ฉันจะได้บุญ ถ้าคุณลองทำอันนี้ดูนะ มันจะมีสองอย่าง บางคนทำบุญแล้วรู้สึกปิติ สบายใจ อิ่มเอิบเพราะเขาได้บุญ ความรู้สึกอันนั้นคือความรู้สึกเต็ม ซึ่งก็ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี


แต่ถ้าคุณลองทำแบบไม่คิดอะไรเลย คุณตั้งใจทำกับข้าวหรือซื้ออะไรมาใส่บาตร คุณตั้งใจกับสิ่งที่คุณทำเพราะคุณตั้งเป้าว่าจะให้พระองค์หนึ่งท่านได้อิ่ม แค่นั้น แล้วคุณก็อยู่กับการทำว่า ทำให้มันดีที่สุด โดยถ้ามันไม่ดีก็ไม่เป็นไร แต่คุณตั้งใจแล้ว แล้วตอนที่ใส่ก็อยู่กับการใส่บาตรนั้นให้พระท่านได้ไปฉันไม่ต้องคิดอะไรอื่น คุณจะพบว่าใจคุณสบายในอีกแบบหนึ่ง มันจะว่างๆ เบาๆ สบายๆ อันนี้เป็นการฝึกใจเราให้ลดการจะเอาและเพิ่มการจะให้ แต่มันต้องทำจริงๆ


ความสัมพันธ์กับสิ่งนี้ ถ้าคุณสังเกตใจคุณขณะที่ฉันทำอันนี้ฉันรู้สึกอะไร คิดอะไร นึกอะไร คุณจะฉลาดขึ้นเยอะเลย และจะเบาขึ้นเยอะเลย แล้วเคยสังเกตมั้ยว่าความรู้สึก นึก คิด จริงๆ แล้วมันคนละอันกันนะ แต่มันมาด้วยกันเสมอ คิดอะไรปุ๊บ ความรู้สึกมันจะมี นึกอะไรปุ๊บความรู้สึกตามมา ความคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นตามมาต่อทันที บางทีคิดอะไรปุ๊บความทรงจำตามมา มันมากันเป็นพวง แต่วันนี้เรามาพูดกันเรื่องรู้จักตัวเองใช่มั้ย รายละเอียดเหล่านี้คือสิ่งที่น่ารู้จัก การทำทานหรือบุญกุศลโดยหวังผลนั้น ถึงจะดีกว่าไม่ทำเลย

ก็ยังมีฉันและของฉันปนเปื้อนอยู่ แต่ถ้าไม่เอาตัวไปผูกกับการกระทำนั้นบุญกุศลจะบริสุทธิ์กว่าเพราะสลัดอัตตาไปด้วย มันไม่ใช่แค่ใส่บาตรนะ มันสละอัตตาว่าฉันไม่เอาอะไร ไม่เอาแม้กระทั่งบุญ


เล่าเรื่องว่าการดูใจตัวเองก็น่าสนใจ คือลูกชายตอนนี้อายุ 52 แล้วเป็นหมอ ตอนนั้นเขาไปบวช 3 เดือนทิ้งการแพทย์ไปเลยนะ คือคนไข้เยอะมาก แล้วความที่เป็นหมอนี่อัตตามันสูง ผ่าตัดต้อกระจกคนมองเห็น คุณหมอเป็นเทวดาทันทีเลย คืออัตตามันเต็มอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้บางเคสคนไข้ไม่พอใจ พูดไปพูดมาก็ยังมีความ ฉันทำสำเร็จอยู่ตลอดเวลา วันดีคืนดีทิ้งหมดเลยไปบวช บวช 3 เดือน ระหว่าง 3 เดือนไปอยู่ป่าเลยคนเดียว เรียกว่าวิเวกคือไม่เจอใครเลย กินอาหารมื้อเดียว แล้วในสามเดือนนั้นตอนปลายๆ เขาอดอาหารทีละ 4 วัน คือ กินแต่น้ำ เหตุผลของเขาคือ มันเป็นการถอยดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับใจกับกาย


เขาเป็นหมอที่จบที่อังกฤษ จึงมีความเป็นฝรั่งพอสมควร แล้วการมาเป็นพระแบบนี้ แล้วทำแบบนี้ มันเป็นการดูใจตัวเองตลอดว่า ถ้าฉันทำแบบนี้แล้วอะไรมันเกิดขึ้น แล้วสมาธิเนี่ยทำให้เราต้องการอาหารน้อยลง จริงรึเปล่าซึ่งจริง เพราะว่าพอจิตมันนิ่งแล้ว มันไม่เอาอะไร ร่างกายมันไม่เผาผลาญ สี่วันไม่หิว

ตอนหลังเค้าก็กลับมากิน แล้วเค้าก็กลับไปอดใหม่ 7 วัน 7 วันนี่มันเห็นทุกอย่างเลย มันเห็นว่าขบวนการต่อร่างกายกับใจเป็นอย่างไรต่อกัน วันที่เขาออกมากิน พอคิดถึงการกินปุ๊บ มันหิวทันทีเลย เพราะว่าใจมันอยากกิน อันนี้เป็นวัดที่อังกฤษชื่อวัดป่าอมราวดี นี่คือการลองเล่นกับการสละอัตตา มันเป็นวันเสาร์และญาติโยมคนไทย จะเอาอาหารดีๆ อร่อยมากๆ เขาออกมามันก็มีอาหารเยอะแยะ


พระท่านไม่ได้ฉันมา 7 วัน ท่านบอกว่าท่านเห็นอาหารทุกอย่างวิเศษหมดเลย เขาบอกเขาตักจนแทบจะทุกอย่าง จนบาตรเขาปริ่มเลยนะ เขาเห็นหัวใจเขาตอนนั้นว่ามันอยากกินไปหมดเลย เขาบอกว่าพอนั่งแล้วฉันได้คำที่สี่เท่านั้นแหละมันไม่ย่อย เพราะว่ามันอดมานานไง บอกอึดอัดจะตายแล้ว อาหารที่เห็นว่าวิเศษที่อยู่ในบาตรมันเห็นแล้วจะอ้วก ภายในพริบตา สิ่งของเดียวกันภาพเดียวกัน ความสัมพันธ์กับของเรากับมันเปลี่ยนทันที เขาบอกชัดมากเลยจากการบวชของเขา มันชัดเลยว่าอะไรจะเกิด ขึ้นความสัมพันธ์ของเรากับมัน อยู่ที่เรา


จริงๆแล้ว อายุอย่างหนูมันต้องมีความรัก มันช่วยไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของร่างกายและฮอร์โมน ที่วัยเจริญพันธ์ มันเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุด ตามหลักจิตวิทยาแล้วความรักระหว่างหนุ่มสาวจะมี 3 ระดับ ไปพิจารณากันเอาเอง ไม่ต้องฝืนเลย มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่ต้องมีสติรู้ ว่าอะไร เป็นอะไร

หนึ่ง มันจะเริ่มด้วยความปรารถนาที่เรียกว่า Lust

สอง มันจะมีความรู้สึกดึงดูดคือ Attraction อันนี้ละเอียดขึ้นละ

อันแรกเป็นเรื่องของกายล้วนๆ ความต้องการทางกาย ของวัยเจริญพันธ์ อันที่สองมันจะเกิดความดึงดูดเป็นเรื่องของใจ บางทีมันไม่ได้ดูดแบบเหมือนกันแล้วชอบกัน บางทีมันดูดแบบหมั่นไส้กัน อันนี้บ่อยมากเลย มันออกมาในรูปแบบต่างๆ ทำไมหมั่นไส้กัน เพราะมันมีจุดน่าสนใจบางอย่าง ที่ทำให้เราหมั่นไส้


สาม คือความผูกพัน Attachment ลึกขึ้นไปอีกหรือคุณภาพขึ้นอีก แต่มันก็อันตรายมากขึ้น เพราะมันตัดยาก เพราะฉะนั้นความผูกพันธ์นี่ดูให้ดี บางคนอยู่ด้วยกันแล้วตัดกันไม่ขาด ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันแล้วให้ความทุกข์ต่อกัน เพราะตัวนี้แหละ ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ ความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของเรา และความรู้สึกเป็นเจ้าของของความสัมพันธ์นั้นมันจะมีสามส่วน


เมื่อมีlust ฮอร์โมนอะไรหลั่งบ้าง เมื่อมี lust ความต้องการทางกาย เป็นเพราะการหลั่ง testosterone ของผู้ชาย กับ estrogen ของผู้หญิง สำหรับผู้หญิงสารเคมีจะไปกระตุ้นสารสี่ตัวในสมอง ฟีโรโมนกระตุ้นให้ร่างกายมีเพศสัมพันธ์ ฟีโรโมนนี่มันมีกลิ่นด้วยนะ โดพามีนเป็นตัวกระตุ้นความอยากและทำให้สุขเวลาใกล้คนรัก ซึ่งตัวโดพามีน จะหลั่งออกมามากมายเมื่อคนเราเสพยาเสพติด เป็นสารตัวเดียวกันเลยเป็นสารแห่งความสมหวัง คือคนอยากยาถ้าได้เสพแล้วจะมีความสุขโดพามีนหลั่ง ความรักก็เช่นกันพออยู่ใกล้คนรักโดพามีนหลั่ง มันก็เลยทำให้อยากต่อ เพราะฉะนั้นพอห่างกัน มันก็อยากพบใหม่ พอพบใหม่สมหวังปั๊บ โดพามีนหลั่งมีความสุข


ในสมองแม่ที่เพิ่งคลอดลูกจะมีฮอร์โมนตัวนึงซึ่งต่างจากสมองของผู้หญิงทั่วไป ฮอร์โมนตัวนี้ชื่อว่า oxytocin มีชื่อเล่นว่าฮอร์โมนห่วงใย (carering hormone) ผู้หญิงจะมี oxytocin มากกว่าผู้ชาย อันนี้คือข้อเสียเปรียบของผู้หญิง ฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกหลั่งออกมาเมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์และจะมีมากที่สุดเมื่อแม่คลอดลูก หลังจากนั้นผู้ที่เป็นแม่มีฮอร์โมนตัวนี้หลั่งออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อให้นมลูกหรือได้ยินเสียงลูกร้อง ฮอร์โมนตัวนี้จะอยู่จนชั่วชีวิตของผู้เป็นแม่ และไม่ใช่แค่คนนะคะ สัตว์ด้วย


จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือคู่รักก็ตาม ถ้ามันไปจนถึงจุดที่ oxytocin ทั้งสองฝั่งหลั่งมากเพียงใด คู่ที่ชีวิตที่มีความสุขมากเลย คือคุณจะแคร์กันและกันมากเลย เหมือนกับคุณรักลูกคุณ คุณก็จะรักสามีหรือภรรยาคุณในลักษณะเดียวกัน คือแคร์เค้ามาก อันนี้คือชีวิตแต่งงานที่อบอุ่น


เมื่ออายุ 16 ครู fall in love กับผู้ชายคนนึงซึ่งอายุแก่กว่า 3 ปี เขาเป็นคนเรียนเก่งมาก นักศึกษาเคมบริจด์เรียนวิศวะ ต่อมาเขากลับมาเมืองไทย กลายเป็นคนดังมากในวงการวิศวะ ตอนนั้นอกหักครั้งแรก โลกมันถล่ม ไม่ได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย เขาอยู่อังกฤษต่อ ซึ่งครูกลับมาแล้ว เขาก็พบผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แล้วเราก็ติดต่อกันทางจดหมาย วันนึงจดหมายเริ่มเปลี่ยนลักษณะของไป มันก็จบ สำหรับเราสาหัสหากรรจ์มากเลยแล้วชีวิตก็ไปกันคนละทาง แต่เราก็เห็นกันอยู่ในวงสังคม


วันหนึ่งห้าสิบปีให้หลัง ครูจัดปฎิบติธรรมอยู่ที่เชียงใหม่และสามีคนปัจจุบันเราเรียกเค้าว่าเจเจ แต่งงานกันเมื่อครูอายุ 57 และเขาอายุ 55 แก่แล้ว เรียนรู้หมดแล้ว ชีวิตดีมากเลยเพราะรู้เลยว่า oxytocin มันมีอยู่ทั้งสองคนเราแคร์กันมาก แต่จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง คนนี้เขาตาย เราไปงานศพเขาแล้ว สามีก็ไปด้วย ภรรยาเขาก็ต้อนรับเราอย่างดี เสร็จแล้วครูก็มาจัดปฎิบัติธรรมที่นี่ แล้วเป็นเจ้าภาพด้วย และคิดว่าจะไม่ไปวันเผาเขาแน่นอนเพราะเราติดทางนี้ เช้าวันที่จะเผาเขา มันรู้สึกว่าฉันต้องไปให้ได้เลย ไม่ไปไม่ได้ มีความรู้สึกแบบนี้ สามีไม่เข้าใจเลย เพราะว่าเราเริ่มจะทิ้งสิ่งที่เราทำอยู่ ปฎิบัติธรรมกับพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มีแขกอยู่ประมาณ 30 คน เราก็บอกว่า เจเจ จะต้องไปเผาศพคนนี้ เขาบอกอะไร เป็นเจ้าภาพดูแล หน้าที่คุณมี อยู่ดีๆจะไปได้ยังไง ก็ไปฟังสวดแล้ว เราพูดคำเดียว เจเจ first love รู้มั้ยแกทำยังไง แกพลิกเลย แกโทรศัพท์ถึงไทยอินเตอร์ แกวิ่งจัดการตั๋วทั้งไปทั้งกลับให้ เสร็จแล้วแกก็ขับรถไปส่งทันทีเลย ไม่ถามซักคำแล้วแกก็ไม่รู้มาก่อนด้วย แล้วแกก็รู้จักคนนี้มาก่อนแกทำงาน แต่แกไม่รู้เลย เนี่ย oxytocin มันไม่มีตัวเองอยู่เลยนะ


มีนิทานอีกเรื่องนึง อันนี้เป็นเรื่องของคานทีที่ทำให้อินเดียเป็นอิสระจากอังกฤษด้วยอหิงสา เขาเป็นคนที่บอกว่า บาปทางสังคมมีอยู่ เจ็ดอย่าง


การเมืองที่ปราศจากหลักการ

ความมั่งคั่งที่ปราศจากการงาน

การค้าขายที่ปราศจากจริยธรรม

ความรื่นรมย์ที่ปราศจากจิตสำนึก

การศึกษาที่ไร้รากฐานด้านอุปนิสัย


คอร์สนี้วันนี้เราตอบอันนี้อยู่อย่าง คือการศึกษาเราอยากจะให้มีรากฐานทางอุปนิสัย และรากฐานทางอุปนิสัยนั้น คือการรู้จักว่าอัตตาคือตัวกูของกูคืออะไรและทำให้มันบางที่สุด เบาที่สุดน้อยที่สุด


วิทยาการที่ปราศจากการลดอัตตา

การเทิดทูนที่ปราศจากการเสียสละ


ความที่ตัวเองอาจจะเป็นคนที่พบความสัจธรรมในชีวิต นอกจากด้วยการปฏิบัติธรรม ดูสมาธิและดูธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ในตัวเอง การเขียนสิ่งที่คนอื่นเขาเรียกกวีนิพนธ์ จริงๆ ตัวเองไม่ได้มองว่ามันกวีนิพนธ์ในตัวของมันเองหรอก แต่มองว่า เวลาเราคิดอะไร แล้วเราจรดปากกาลงไป อะไรมันตามมาและทำให้เราเกิดเรียนรู้ ทำให้เราแปลกใจมากว่า ตัวเรามีสิ่งเหล่านี้ หรือมีปัญญาเหล่านี้อยู่ด้วยหรือ


เพราะฉะนั้นสิ่งนึงที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนทำคือ เวลามีปัญหาในใจของตัวเองหรือมีปัญหาใดก็ตาม ถ้าคุณอยู่ในที่นิ่งและที่สงบแล้ว คุณเริ่มต้นเขียนโดยไม่คิดจะให้ใครอ่าน แค่เขียนไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่าบางทีปัญญาของคุณที่มันซ่อนอยู่ข้างใน มันออกมาตอบโจทย์อะไรได้ตั้งหลายอย่าง มันอาจจะไม่ตรงโจทย์ก็ได้แต่มันอาจจะตอบอะไรอย่างอื่นได้ เพราะฉะนั้นงานเขียนของครูแทบจะทั้งหมดเลยเป็นงานที่เขียนเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง ไม่ได้หาแบบคิดค้น แต่หาแบบว่าพอเราเขียน มนุษย์เรามีสิ่งที่เรียกว่ารู้สึก นึก คิดโยงกันไปเรื่อยๆ เป็นวงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีจิตที่สงบและลงเขียนประโยคแรก ปัญญาที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณมันจะออกมา


งานชิ้นนี้เป็นงานแปลกและเป็นงานที่มีคนแปลไปหลายภาษา เพราะเป็นเรื่องของสากลมนุษย์ ไม่มีเรื่องของวัฒนธรรม เป็นเรื่องของมนุษย์ที่ไม่มีกรอบที่กั้นด้วยวัฒนธรรม บ่อยครั้งเราพูดถึงศาสนา ศาสนานี่

ถ้าดูมันไม่ดีและยึดกับมัน มันกลายเป็นสิ่งที่ขวางกั้นการเข้าไปสู่ปัญญา แต่จริงๆ แล้วศาสนาคือบันไดที่นำไปสู่สิ่งที่เหนือศาสนาที่เหมือนกันหมดเป็นมนุษยชาติ


ปัญหาก็คือว่าเราเอาศาสนามารบกันเอง มาข่มกันเอง อันนั้นไม่ได้ใช้ศาสนาเป็นบันไดสู่ปัญญาแล้ว ครูเชื่อในปัญญาในมนุษย์ทุกชาติ ทุกศาสนา ว่าในที่สุดมันมารวมกัน เหมือนกัน ทีนี้จะเล่านิทานอันนี้ให้ฟัง


ครั้งนึงเมื่อลูกสาวอายุ 16 เราส่งไปอยู่อเมริกา เขาไปอยู่คนเดียวในโรงเรียนที่ไม่มีคนไทยเลย แล้วเขาก็ทุกข์มาก รูมเมทเป็นคนผิวดำ ที่มาที่ไปมันทำให้เข้ากันยากมาก ด้วยวัฒนธรรมของไทยๆ เราเป็นแบบหนึ่ง อเมริกันอีกแบบหนึ่ง แล้วต้องมาอยู่ด้วยกันสองคนในห้องเดียวกันในโรงเรียนประจำ เขาทุกข์เหลือเกิน ตอนนี้ลูกสาวคนนี้อายุ 51 ในสมัยนั้นไม่มีอีเมล์ เราก็ต้องเขียนจดหมาย แล้วจดหมายกว่าจะไปถึงกันสามวันห้าวัน เพราะฉะนั้นความทุกข์ของเด็กมันเยอะมาก โทรศัพท์ยุคนั้นก็แพงมาก ยอมเสียตังค์โทรถึงเขาบ้าง แต่เขียนจดหมายก็เยอะ สอนอะไรไป พูดอะไรไป ก็ไม่ได้ผล เขาก็ยังทุกข์อยู่อย่างนั้น สอนแบบแม่สอนทำอย่างนี้สิลูก ทำอย่างนั้นสิลูก ก็ยังไม่สำเร็จ ก็ทุกข์ไม่เป็นอันเรียน ร้องห่มร้องไห้ต่างๆ นาๆ


ภาษาตอนนั้นเขาก็ไม่ค่อยดีนักหรอก เพราะไปจากเมืองไทย ในที่สุดตัวเราเองก็ไม่รู้จะทำยังไง ในความไม่รู้จะทำยังไงนั้น ก็จรดปากกา เพื่อจะบอกลูกว่าแม่ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว ครั้นจะหนีกลับมามันไม่ได้ เราต้องสู้ เพราะตัวเองก็ถูกส่งไปเมืองนอกอายุ 12 กำพร้าแม่และภาษาก็ห่วยแตก เข้าไปอยู่กับโรงเรียนที่มีแต่เด็กฝรั่งทั้งนั้น ไม่มีคนต่างประเทศเลย มีเราคนเดียว แล้วเราก็จัดการกับมันได้ จนกระทั่งปัญญาเกิด แล้วเรามีวันนี้ได้ เพราะวันนั้นเหมือนกัน ว่าเราต่อสู้กับความเหงายังไงและเราใช้อะไรต่อสู้ อันที่จริงเราไม่ได้ต่อสู้หรอก เรายอมรับมันว่า เราจัดการกับมันยังไง อันนี้เป็นอันหนึ่งว่าเราจนปัญญา เรายอมรับว่าเราจนปัญญา ปัญญามันอาจจะมาเองก็ได้คือจรดปากกาแล้วบอกลูกไปว่าแม่ไม่ไหวแล้ว แต่มันออกมาเป็นงานกวีนิพนธ์นะคะ เขียนไปถึงเขาแล้วไม่นึกเลยว่ามันได้ผลมหาศาล ทั้งๆ ที่เราไม่ได้สอนอะไรเลย บางครั้งเราอาจจะต้องเข้าใจว่าการยอมรับว่าฉันไม่รู้ ฉันอาจจะช่วยเธอไม่ได้


จดหมายจากแม่ถึงลูกสาว


แม่มิใช่กวี จึงมิอาจกรองกลั่น

ความอ่อนหวาน ความโหดร้าย

และมายาหลากหลายของชีวิต

ให้เป็นมนต์ขลัง ที่จะอ้อยอิ่งในวิญญาณ

และดังกังวานในดวงใจลูกได้


แม่มิใช่นักปรัชญา

จึงขาดไร้สติปัญญา

ที่จะอธิบายให้ลูกเข้าใจ

ถึงเหตุผลและหนทางของชีวิตและความตาย

และความยุ่งยากซับซ้อนทั้งหลาย

เพียงเพื่อดำรงอยู่ในโลกนี้


แม่มิใช่นักจริยธรรม

จึงมิอาจสอนสั่งลูก

ให้ตัดสินเพื่อนมนุษย์

และประณามความชั่วผิดใดๆ

เพราะใครเล่าจะเข้าซึ้งถึงไฟปรารถนาอันเผาผลาญ

และความเจ็บปวดทรมานในดวงใจผู้อื่นได้


แม่เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง

จึงได้แต่จะวอนขอลูกให้ค่อยๆ รับรู้

ค่อยๆ สัมผัสผืนแพรหลายเนื้อของความเป็นจริงในชีวิต

และด้วยหัวใจผู้หญิง พยายามรับรู้ พยายามเข้าใจ

พยายามเถิดลูกรัก พยายามเรื่อยไป..เรื่อยไป


เราจะพบว่าในบทนี้ไม่มีการสอน เราบอกถึงความจำกัดของการเป็นมนุษย์ เรายอมรับในความจำกัดนั้น และเราจะทำอะไรได้บ้างในขอบข่ายของความจำกัดนั้น บ่อยครั้งเราต้องยอมรับ และเมื่อเรายอมรับแล้วบางทีปัญญามันเกิด แต่ไม่ใช่ปัญญาของการคิด แต่เป็นปัญญาของการอยู่กับปัจจุบันและรับรู้ รู้สึกแล้วจึงนึกคิด รู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ในตัวเราเอง งานนี้น่าสนใจเพราะส่งไป ลูกหายไปพักใหญ่ๆ แล้วตอบมาว่า แม่ บัดนี้ลูกได้กลายเป็นที่ปรึกษาของคนทั่วไป บอกว่าตอนนี้เพื่อนชอบมาคุยกับลูกมากเลย มาปรึกษาทั้งๆ ที่ภาษาอังกฤษก็เตาะแตะ


อีกช่วงนึงเขาเขียนมาว่าจดหมายกวีที่แม่เขียนมามันwork น้องเข้าใจ คือสรุปแล้วเราไม่ได้สอนนะ แต่เขา get ด้วยตัวเอง คนเราพอ get ด้วยตัวเอง มันมั่นคงกว่าฟังจากคนอื่น แต่ฟังจากคนอื่นมันเป็นตัวสะกิดให้คิดด้วยตัวเอง แล้วเขาบอกว่าตอนนี้กำลังจะสอบแต่เขาอ่านหนังสือไม่ทัน เพราะมีเพื่อนอกหักมาคุยเยอะมาก น้องก็เลยเอาอันนี้ของแม่ไปปิดไว้หน้าประตู มัน work กับเด็กอายุสิบหกจำนวนมากเลย อันนี้ก็เป็นอันนึงที่อยากจะบอกว่า มนุษย์เรามันมี limitation เรารู้หมดไม่ได้และเราต้องยอมรับในความรู้ไม่หมดของเรา


บางทีงานกวีนิพนธ์มันพูดกับเราด้วยระหว่างบรรทัดและระหว่างคำ มันไม่ได้พูดด้วยคำ เพราะว่างานกวีนิพนธ์คืองานที่เขียนเพราะว่าไม่รู้จะเขียนอธิบายยังไง มันเป็นตัวสื่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด แต่มันสื่อด้วยจังหวะและภาษาที่คนฟังต้องใส่เข้าไปด้วยตัวเองด้วย




Photo by Khunying Chamnongsri Hanchanlash


ทีนี้เราจะพูดถึงสิทธิของมนุษย์ที่จะรับในสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา และรับว่ามันก็คือธรรมชาติ มีกวีอีกบทของ อุชเชนนี ชื่อขอบฟ้าขลิบทอง เป็นบทกวีที่ครูชอบมากเพราะมันอนุญาตให้เรารู้ว่า ในชีวิตมีสารพัดที่จะผ่านเข้ามา และเรามีสิทธ์ที่จะเป็นมัน ที่จะเห็นมันเกิดและเห็นมันผ่านไป ลองฟังดูนะ


มิ่งมิตร เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น

ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม

ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม

ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน

ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงส์ร่อน ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน

ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจคน ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ

ที่จะเกลาทางกู้สู่คนยาก ที่จะจากผมนิ่มปิ่มเส้นไหม

ที่จะหาญประสานท้านัยน์ตาใคร ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง

ที่จะอยู่เพื่อคนที่เธอรัก ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง

ที่จะมุ่งจุดหมายปลายทะนง ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา

เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น เพื่อไผ่โอนพริ้วพ้อล้อภูผา

เพื่อรวงข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ


นี่พูดกับทุกคนนะ ทุกคนสังเกตใจตัวเองว่า สิ่งเหล่านี้มันเกิดได้และมันเกิดตลอดเวลา แต่ทั้งทุกข์และทั้งสุข ผ่านค่ะ ไม่มีอะไรถาวรเลย ใครมีทุกข์อะไรอยู่ เชื่อมั่นว่ามันจะผ่าน แต่มันจะไม่ผ่าน ถ้าคุณไม่มีสติ

ที่จะถอยออกมาดูมัน แล้วอยู่ต่ออย่างมั่นคง จำเอาไว้เสมอ ทั้งทุกข์ ทั้งสุข ผ่านและก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อันนี้เข้าหลักพุทธศาสนา อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา มันไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งลมหายใจของคุณเอง ไม่ใช่ลมเดียวกันสักลมเดียว แม้กระทั่งคำพูดของครูพอมันหมดคำ มันก็จบไป และการรับสัญญาณของแต่ละคนเข้าไป แล้วก็คิดกันคนละแบบ คำพูดเดียวกัน เลคเช่อเดียวกัน จะมีผลกับแต่ละคนแตกต่างกัน ไม่มากก็น้อย ขึ้นกับประสบการณ์ ขึ้นกับอุปนิสัยของแต่ละคน ถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้ เราจะอยู่กับการเปลี่ยนแปลง และอยู่กับการขัดแย้ง อยู่กับความรัก อยู่กับลำพังได้ดีขึ้น แต่มันเป็นเรื่องของหนูเองแต่ละคนนะ ครูแค่เอามาฝากให้แค่นี้


อันนี้สำหรับทุกวัยอยากจะให้มองนะคะ เมื่อเพื่อนกลายเป็นพรรคพวก มันคือการอาทร อบอุ่น โอบเอื้อ และอิสระ เพื่อนจะให้อิสระต่อกัน ถ้าคุณคบเพื่อนอยู่ คุณดูให้ดีว่าเขาให้อะไรคุณ ถ้าเริ่มมีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเมื่อใด เริ่มมีปัญหา ความผูกพันจะกลายเป็นความผูกมัด ด้วยการคาดหวังและคาดคิดว่า ต้องไปทิศทางเดียวกัน นักการเมืองของเรามีปัญหามากเพราะอันนี้


ในที่สุดความผูกมัดทางใจจะแน่นและหนา จนพาให้บอดทิศ หลงทาง ทำนองไปไหนไปด้วยกัน จนไม่สนใจว่าจะไปไหน เมื่อสองวันเขาเชิญไปพูดที่สถาบันพระปกเกล้าเน้นเรื่องนี้มากเลย คือเพื่อนฉันทำฉันรู้ว่ามันไม่ถูก แต่เพื่อนกัน ต้องไปด้วยกัน ต้องยกมือด้วยกัน ไม่ว่าฉันจะรู้สึกผิดยังไง ความสัมพันธ์ก็เลยเป็นโซ่ตรวนทางใจ ที่ทำให้หมดอิสรภาพ อันนี้จำไว้ให้ดี


อีกอย่างนึงของความสัมพันธ์และเรื่องความเข้าใจตัวเอง ครูเพิ่งบริจาคที่ดินให้กับมหาลัยมหิดลเพราะอยากให้ประเทศไทย มีสิ่งที่เรียกว่า hospiscare อย่างเป็นระบบ และพอให้ไปแล้ว ท่านอธิการบอกว่าอันนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ของประเทศไทย เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนมีลูกน้อยลง คนแก่อายุยาวขึ้น เทคโนโลยีการแพทย์ยื้อชีวิตได้มาก ทั้งๆ ที่ชีวิตไม่มีคุณภาพแล้ว แล้วก็เป็นการยื้อที่ทุกข์ทรมานด้วยเป็นส่วนใหญ่ คุณรู้มั้ยว่าประเทศไทยเรา คนเป็นหนี้นอกระบบ เพราะยื้อชีวิตพ่อแม่แค่ไหน เยอะมากนะคะทั้งๆ ที่มีสามสิบบาท และปัญหาคือผู้ที่ยื้อชีวิตอยู่ กินพื้นที่ทางการักษาของคนที่รักษาได้ กินทรัพยากรทั้งบุคลลากรการแพทย์ ทั้งเงินที่ต้องซื้อเครื่องมือ ซื้ออะไรต่างๆนาๆ


ในต่างประเทศ ครูไปดูมาหลายประเทศ ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา แคนนาดา ใต้หวัน ประเทศไทยไม่มี มีที่

มอชอเริ่มมีแล้ว แต่ไม่กี่เตียง คือมันต้องเริ่มแล้วเพราะพวกคุณจะลำบาก เพราะอะไร เพราะว่าคุณจะต้องเป็นคนที่ทำงานและผลิตเค้าเรียก productive ที่จะเสียภาษีให้รัฐ แต่คุณจะมีคนจำนวนมากเลยที่ nonproductive และคนเหล่านั้นคือคนอายุ 70 กว่า ที่ไม่ส่ามารถมาทำอย่างที่ครูทำอยู่ขณะนี้ได้ ประเทศไทยเป็นรองจากญี่ปุ่นในภาคพื้นนี้ ของเราสังคมผู้สูงอายุจะสูงกว่าฟิลิปปินส์ สูงกว่าเวียดนาม พม่า เราสูงกว่าหมดเลย เพราฉะนั้นเรากำลังก้าวสู่ปัญหาของสังคมผู้สูงอายุ


คุณทราบมั้ยว่าคนอายุน้อยๆ อย่างคุณจำนวนเท่าไหร่ที่หลังเสียหมดแล้ว เพราะยกพ่อ ยกแม่ ยกผู้ป่วยและคุณภาพชีวิตก็เสียไปเลย เรื่องนี้เลยเอามาพูดให้ฟังเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญทั้งๆ ที่มันกระทบประเทศเราอย่างแรงนะคะ hospiscare คือการดูแลผู้ป่วยที่ยังไงเขาก็ตายแน่ ให้ได้ตายตามธรรมชาติ โดยช่วยเขาให้เจ็บปวดน้อยที่สุดทางกาย ซึ่งอาจารย์รัชตะบอกว่าถ้าเราสามารถทำได้จริงๆ ทั้งผลิตยา ทั้งรีเสริชอะไรของเราเอง รวมทั้งทางด้านการปฏิบัติตามศาสนาต่างๆ ที่มีเทคนิคการมีสติรู้กับตัว และการดูแลคนที่จะต้องสูญเสียได้ เรากำลังทำ ขณะนี้ได้ทุนรัฐบาลแล้ว มันจะทำให้พวกรุ่นหนูไม่แย่ เพราะเราจะลดGDP ของประเทศอย่างมหาศาล


ทีนี้เราก็ต้องมาพูดถึงการเปลี่ยนทัศนคติของคนเป็นลูกเป็นหลาน อย่างที่อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเขาบอกรู้ไหมว่าคนที่ทรมานเจ็บปวดน่าสงสารที่สุด คือพ่อแม่ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของ ม. ขอนแก่น ตายอย่างมีท่อคาคออยู่เป็นอาทิตย์ บางคนเป็นเดือน เพราะว่าเขาได้รับการดูแลฟรี และมันจะมีความรู้สึกว่าฉันต้องทำทุกอย่างให้พ่อแม่ฉัน เพราะต่างๆ นาๆ แต่มีอันนึงคือแล้วคนอื่นจะว่าไง ทำไมเธอปล่อยไปล่ะ เธอได้สวัสดิการอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นอาจารย์แพทย์บอก น่าสงสารมากเลยพ่อแม่ของพวกนี้


ทีนี้ครูก็เลยทำเรื่องนี้ เรื่องของความกตัญญู เพราะว่าสังคมประเทศไทยเรา เรื่องกตัญญูเป็นเรื่องใหญ่ ครูก็เลยกลับมา ซึ่งผูกเข้ากับเรื่องเดิม เรื่องอัตตา เรื่องมายาของอัตตา ทีนี้ครูก็จะถามละว่า ถ้าคนกตัญญูจริง ความกตัญญูที่ยื้อให้พ่อแม่ต้องตายอย่างทรมาน บางคนจะดึงสายยางออกก็มัดไว้ เขาจะไปแต่กระตุ้นความดันอยู่ตลอดเวลาเขาไม่ได้ไปอย่างเรียบเสียที


การไปอย่างเรียบคืออะไร การไปอย่างธรรมชาติที่สุดคืออะไร คือถ้าร่างกายไม่ต้องการอาหารแล้ว สารเคมีจะหลั่งให้เราผ่อนคลายอันนี้ธรรมชาติเลยนะ การตายที่เป็นธรรมชาติ ร่างกายจะหยุดอาหาร จะปรับของมันลงมา สารเคมีจะหลั่งจากสมองมาบาลานซ์ให้จิตใจสงบ นี่พูดถึงตายธรรมชาตินะคะ ไม่ได้เป็นโรคร้าย แล้วต่อไป เขาก็จะเริ่มดื่มน้อยลงๆ แต่เราต้องจัดการเรื่องคนรอบข้างด้วย สังคมคนรอบข้าง ไม่งั้นเขาจะเกร็งขึ้นมาอีก เราต้องจัดการให้เขาไม่กลัว มันก็มีวิธีการจัดการต่างๆ นาๆ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องให้การศึกษาสิ่งเหล่านี้


แต่คำถามของลูกคืออะไร เวลาเรายื้อชีวิตพ่อแม่ เราศึกษามาแล้วว่ามีสามอย่างของคนไทย คือเรื่องกตัญญูสามด้าน


หนึ่ง ฉันรักท่านเหลือเกิน ฉันทนไม่ได้ถ้าท่านจะไป ขอแค่ให้ได้อยู่ ได้จับมือแค่นั้นพอ หลายคนพ่อแม่ทรมานมาก เพราะลูกไม่สามารถจะปล่อยท่านได้ อันนี้เราจะขอให้ลูกบอกเขาไปว่าเพื่อใคร เพื่อฉัน ฉันทนไม่ได้ที่จะปล่อยไป วันนั้นมีเคสนึงโทรเข้ามา ที่จริงหนูก็รู้ว่ายังไงท่านก็ต้องไป แต่หนูให้ยื้อไว้อย่างน้อยทุกเช้า หนูก็วิ่งมาหาเขาที่โรงพยาบาล แล้วแตะมือหน่อยนึงหนูก็มีความสุข เราถามเลยเพื่อใคร

ตัวฉัน นี่อันนึง ที่ดูเหมือนเป็นภาพกตัญญู ต้องพิจารณาตัวเองให้ดี


สอง กลัวบาปไม่กล้าพูด พอพ่อแม่ไม่ได้เขียนเจตนารมณ์เอาไว้ หมอก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าลูกไม่ได้ปล่อย เคสนึงเข้าไปหาทีไร ร้องไห้มีวายยางคาอยู่ที่จมูก ถามลูก ลูกไม่ยอมพูดเลยซักคน กลัวบาป รู้ว่าท่านทรมานมาก ท่านอายุ 99 ปี หมอปล่อยไม่ได้ เพราะว่าลูกไม่อนุญาต เพราะฉะนั้นกระตุ้นอยู่ทุกครั้ง มัดมือมัดเท้า คนไข้สติดีมาก ที่จริงถ้าปล่อยเขาตายธรรมชาติ เขาจะไปสงบมาก เพราะสติดีมากเลย

เคสนั้นครูก็เลยไปพูดกับหมอให้เอง ลูกเขาไม่กล้าพูด เงินหมดไปไม่รู้กี่ล้าน เคสนี้ลูกกลัวบาป ใครกลัวบาป ลูกกลัวบาป


สาม อันนี้สาหัสที่สุดคุณอา ถ้าเราปล่อยไป พี่น้องจะว่ายังไง เลยปล่อยให้ทรมานอยู่ 6 ปี เพราะกลัวคนอื่นจะว่า


พิจารณาความกตัญญูสามข้อนี้ให้ดี คือคิดง่ายๆ ว่าเราจะทำไงให้พ่อแม่ขอบใจเรา นี่ตัวเองบอกลูกเรียบร้อยแล้ว เขียนไว้ด้วย ปีหน้าเราจะเริ่มรณรงค์การเขียนพินัยกรรมชีวิต


คราวนี้ครูมีเรื่องอยู่เรื่องนึง ครูอยากให้ลองพิจารณาอะไรให้ตัวเองสักอย่าง บางคนอาจจะยังไม่เคยทุกข์มาก แต่ครูอยากจะถามว่าเวลาบางคนเล่าเรื่องตลกให้ฟัง แล้วเราหัวเราะมากเลย เล่าครั้งที่สองเราหัวเราะน้อยลงใช่มั้ย ถ้าเล่าซักห้าครั้งนี่ไม่อยากฟังละ มันไม่สนุก เพราะฉะนั้นไอ้การหัวเราะในเรื่องซ้ำๆ เราไม่ค่อยจะทำกัน ในเมื่อเราไม่หัวเราะเรื่องตลกเดิมๆ ซ้ำๆ อีก แล้วทำไมหนอ เราจึงร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ


ครูไม่ได้บอกว่าทุกคนจะมีเรื่องร้องไห้เดิมๆ ซ้ำๆ แต่มันจะมีเรื่องไม่พอใจซ้ำๆ มันจะมีเรื่องที่เราคิดย้อนหลังแล้วเราคิดทีไรมันรู้สึก unhappy ทุกที มีมั้ยคะ คือลองตอบตัวเองแล้วเขียนลงไป ลองให้ตัวเองหรี่ไฟฟังเพลงนิ่งๆ รู้สึกลมหายใจตัวเอง ชีวิตที่แท้จริง จริงๆก็คือลมหายใจที่เรายังมีอยู่ ลองรู้สึกมันดูสิ แล้วลองหาคำตอบดูว่าตลกหลายครั้งทำไมมันไม่ตลก แต่เวลาเจ็บหรือเศร้าหรือโกรธ มันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้เพราะอะไร หาเหตุผลเอาเอง ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง แต่เล่นๆ ว่า เราดูจิตตัวองเป็นรึเปล่า ลองหาเหตุผล

ครูให้เวลาประมาณ 5 นาที จะเขียนรึไม่เขียนก็ได้ แต่ลองหัดพิจารณาดูซิว่าทำไม จะได้คำตอบ ไม่ได้คำตอบไม่เป็นไร แต่หนูรู้สึกสงบกับตัวเอง


ครูเนี่ยเป็นลูกกำพร้านะ แม่ตายตั้งแต่สองขวบ พ่อแต่งงานใหม่ แล้วด้วยความที่คงไม่รู้จะทำไงกับลูกสาวดี แล้วคุณพ่อเชื่อว่าภาษาอังกฤษสักวันหนึ่งจะเป็นภาษาสากล ซึ่งก็จริง ก็ส่งลูกสาวอายุ 12 ขวบ ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลยไปอังกฤษ และการที่ต้องช่วยตัวเองและอย่างว่าที่นั่นมีแต่เด็กอังกฤษ มีชาติอื่นอยู่คนเดียวในโรงเรียนผู้หญิง เพราะฉะนั้นครูจะรู้จักวิธีจัดการกับความเหงาและการถูกแกล้ง ถูกรังแก การเป็นคนแปลก กว่าเราจะอินกับเพื่อนๆ ได้ก็ปี สองปี


ความเหงาของยุคนั้นทำให้ครูเป็นนักเขียนได้ เพราะมันต้องพึ่งตัวเอง หลังจากนั้นพ่อทางนี้เริ่มตาบอดก็เลยเรียกกลับ ไม่ได้กลับเมืองไทยเลยในช่วง 6 ปีครึ่ง เพราะมันกลับยาก กลับมาเมืองไทยก็เหมือนกลับมาอยู่ประเทศแปลกใหม่ กลับมาตอนอายุ 18 กว่าๆ ก็ปรับตัวอีกรอบนึง รอบนั้นเขาจะให้ไปเป็นเสมียนในบริษัทที่พ่อเกี่ยวข้อง ทำอยู่ 3 เดือน ไปงานเลี้ยง คุยกับฝรั่งคนนึงเขาบอกยูน่าจะเขียนได้ ส่งบทความให้เขาปรากฏว่า เขาเป็น บก.ของ นสพ.คู่แข่งของบางกอกโพสท์ เขาเลยชวนไปเป็นนักข่าว และนักข่าวหญิงสมันนั้นถูกมองว่าก๋ากั่น เดินทางไปนู่นนี่ ค่ำคืน มีช่างภาพผู้ชายคอยแบกกล้องเดินตาม


พ่อเราหัวใจแทบสลายเลย ต้องต่อสู้กับความคิดคน จนกระทั่งคอลัมน์เราเริ่มเป็นที่รู้จัก พอเริ่มเป็นที่รู้จักคนก็จะถามพ่อว่าใครนามสกุลนี้ เราอยู่ในสังคมที่ค่อนข้างจะเป็นที่รู้จัก เขาก็จะมองว่าเราทำให้ครอบครัวของเราเสียชื่อเสียง ฝรั่งก็เริ่มยอมรับ เขาก็ค่อยๆ ยอมรับ จนเป็นที่รู้จัก ก็แต่งงานก็ลาออกจาก นสพ. ตอนนั้นเป็นคอลัมนิสต์แล้วล่ะ หลังจากแต่งงานแล้วก็มาสร้างโรงพยาบาล มันหนักหนาเหลือเกิน แล้วลูกก็ออกมาสี่คนพร้อมๆ กับสร้างโรงพยาบาล มันสู้ตลอด คนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดมาสบาย แล้วทำไมต้องสู้ขนาดนี้


ครูกำลังจะบอกว่าการต่อสู้ต่างๆ ความผิดหวังต่างๆ ความเหน็ดเหนื่อยต่างๆ ทำให้เรากลายเป็นคนอายุ 75 ที่สบายทีเดียว สบายจากข้างใน และเมื่อเราสบายข้างใน เราก็พบคนที่สบายข้างในเหมือนกัน และเราอยู่กันแบบอาทรต่อกันมากมาย จนหลายคนบอกว่าเป็นคู่ตัวอย่าง แต่ว่าแต่งงานตอน 57 เพราะฉะนั้นมันผ่านอะไรมาเยอะเหลือเกิน สิ่งที่ครูพยายามจะทำคือหนูยังไม่มีโอกาสจะผ่านตรงนี้ เลยพยายามจะเล่าให้ฟัง ชี้ให้ดู อย่างน้อยก็ได้มีเครื่องมือไปบ้าง อย่างน้อยตอนที่เราทำหนังสือพิมพ์เนี่ยมันก็สนุกมากๆ แต่มันต้องสู้กับทัศนคติสังคมเยอะมาก


เสร็จแล้วก็สร้างโรงพยาบาลเราก็จะมีชาวต่างชาติมา เราก็จะกลายเป็นที่ยอมรับมากๆ เลย โรงพยาบาลอายุ 50 ปีพอดี คนสร้างที่นำสร้างกับเรา เป็นคนสร้างแผนกตาของ รพ.รามาธิบดีด้วย มาทำงานไม่ได้หลับได้นอน จนมาเริ่มสร้าง รพ.ของตัวเอง บางทีถ้าเราเริ่มจากอะไรเล็กๆ ก็ตาม ถ้าเราอยู่กับมัน ทำกับมันเข้าใจมันจริงๆ ในช่วง 50 ปี มันมีหลายครั้งมาก ที่เราคิดว่ามันล่มแน่ แต่ก็ผ่านมาได้


หลังจากนั้นครูก็มาทำรายการวิทยุแห่งประเทศไทยภาคภาษาอังกฤษ ในเรื่องวรรณกรรม อายุ 40 อยากจะรู้ว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยกันอย่างไร เราไม่เคยมีโอกาสเลย ก็เลยไปลงเรียนที่รามคำแหงเป็นรุ่นแรกๆ เลย แล้วมันก็มาถึงจุดที่ทุกข์หนักๆ มากๆ เลย แล้วก็มาขียนหนังสือ ถ้าเล่ามาถึงจุดนี้แล้วนะคะ ก็ลูกสี่คนหลานอีกหกคน แล้วก็ถ้าใครอยากจะถามอะไร ครูก็อยากจะตอบนะ มนุษย์เราแปลกนะ กว่าจะเรียนรู้กันมา คนใหม่มันก็มาเติม ก็ต้องมาเรียนรู้กันใหม่เป็นทอดๆ ไป


ความเหงาเนี่ยมันอยู่กับเรามันอยู่กับเรามากกว่าคนอื่น เพราะไปอยู่อังกฤษตั้งแต่เด็ก และเราก็ไม่มีแม่ แต่สิ่งที่พบว่าความเหงามันให้เรา มันมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คือโรงเรียนเราอยู่กลางป่าล้อมรอบด้วยป่า เพราะฉะนั้นถ้าครูจะตอบ ความเหงาบำบัดได้ด้วยการเข้าถึงธรรมชาติสิ่งแวดล้อม คือมันจะเริ่มนั่งสังเกตใบไม้ ต้นไม้ บางทีนั่งดูมด ในสิ่งเหล่านั้นมันมีความสุขในตัวของมันเอง เพราะว่าเราลืมนึกถึงตัวกู แล้วเวลาเราอยู่กับสิ่งเหล่านั้น มันสดชื่น โดยเฉพาะเวลาฝนตกลงมา ที่อังกฤษฝนตกเยอะมากมันชุ่มชื่น เราหาความสุขในสิ่งที่เราหาได้ ที่มันไม่เป็นภัยกับตัวเอง แล้วก็การเขียนหนังสือ ครูต้องยอมรับว่าครูอ่านหนังสือเยอะ การจัดการกับความเหงาของครูอีกอย่างคือการอ่านหนังสือ และเข้าไปอยู่ในโลกของหนังสือ ซึ่งถือว่าวิธีนี้เป็นการหนีชนิดนึง แต่ว่ามันเป็นการหนีที่มีคุณภาพเพราะเราเรียนรู้เยอะจากหนังสือนะคะ


แต่ว่าจริงๆ แล้วเนี่ยครูพบว่าธรรมชาตินี่มันบำบัด แล้วก็อยากจะแนะนำ น้ำเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเลย ถ้าคุณนั่งดูน้ำที่มันไหลคุณจะได้อะไรมากเลย นักจิตวิทยาเขาบอกว่าเวลาเหงา อันหนึ่งที่ช่วยมากคือดูปลาเวลาว่ายน้ำ เขาจะใช้อ่างปลาแล้วนั่งดูมัน เคยพบคุณเสนาะ อูนากูล เคยเป็นรัฐมนตรี แล้วบังเอิญลูก

รถคว่ำตาย แกไปบวชสามเดือน แล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วย ถามคุณเหนาะว่าทนได้ไง เพราะในปีเดียวสามเรื่องเลย เรื่องใหญ่ทั้งหมดเลย แกบอกผมแค่นั่งดูปลาครับ เอาใจให้ว่างเลย แล้วนั่งดูปลาเคลื่อนไหว เกิดความสงบ


แล้วย้อนเข้ามาดูที่ใจว่าไอ้ความเหงา จริงๆ แล้วคืออะไร ไปดูธรรมชาติของมัน อย่างที่พระพุทธเจ้าพูดว่า เมื่อมีทุกข์เข้าไปดูสมุทัย ไปดูเหตุข้างใน แต่ก่อนคุณจะดูได้ คุณต้องสงบก่อน เพราะฉะนั้นสำหรับตัวเองจะชอบดูน้ำ บางทีเอาเท้าลงไปในน้ำแล้วรู้สึกความเย็นนะ หรือเดี๋ยวนี้ครูชอบปฏิบัติธรรมง่ายๆ เลย คุณแค่สนใจลมหายใจออกของคุณ คุณก็มาอยู่กับความเป็นจริงของปัจจุบันแล้ว


ไอ้ความเหงามันคืออะไร จริงๆแล้วความเหงาคือคุณไม่ต้องการอยู่กับปัจจุบัน ความเหงาคือความต้องการที่ว่าคุณไม่ต้องการอยู่กับตัวคุณเองใช่ไหม ความเหงานี่ ธรรมชาติที่แท้ของมันคือคุณอยู่คนเดียวกับตัวคุณเองไม่ได้ คุณไม่สามารถเป็นเพื่อนกับตัวเองได้ คุณถึงได้ต้องโหยหาสิ่งนั้น สิ่งนี้ภายนอก แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะฉะนั้นอย่าเปลืองตัวเองแต่เข้าใจธรรมชาติของมันแค่นั้นเอง อย่าบอกว่าชั้นไม่เก่งชั้นถึงเป็นเพื่อนกับตัวเองไม่ได้ ไม่จริง มันเป็นธรรมดาแต่ให้รู้เหตุของมัน ว่าตอนนี้เราโหยหามันเหลือเกิน แต่คนโน้นเป็นคนรึเปล่า หรือเป็นคนที่เราคิดว่าเขาเป็น บ่อยครั้งครูบอกว่าจะเลือกคู่รัก อย่าให้ความเหงามันเลือกให้นะ คุณกลับมาที่ตัวคุณก่อนเพื่อจะเห็นว่าเขาคืออะไรกันแน่ แล้วทำไม แล้วค่อยรักเค้า จำไว้เลยรักใครเราเลือกเอง ไม่ใช่ให้ความเหงามันเลือกให้


ครูชอบแฮรี่ พอตเตอร์มากเลย ครูอ่านทุกเล่ม ครูดูหนังทุกภาค แล้วเอาคำพูดของแฮรี่มาสอนคนด้วย เจ. เค. โรลลิ่งเขาเป็นคนประหลาดมากนะ เป็นคนจนมากจนที่สุด แล้ววันนึงครูชอบคำพูดของเขามาก มหาลัยฮาวาร์ดเชิญเขาไปพูด เชาพูดหัวข้อว่าข้อดีของความล้มเหลว เป็นการพูดที่มันส์มาก เราได้รู้ว่าแฮรี่ พอตเตอร์ มาจากประสบการณ์ของเจ.เค. โรลลิ่งทั้งนั้นเลย เจ.เค. จน แล้วก็แต่งงานกับผู้ชายที่ทุบตีตัวเอง แล้วก็หย่าโดยมีลูกอยู่ในท้อง เป็นซิงเกิ้ลมัมที่ต้องมาอาศัยแม่อยู่เพราะว่าไม่มีเงิน แล้วเขาบอกว่า ณ. จุดที่ในชีวิตเหลืออยู่สองอย่างเท่านั้นคือ พิมพ์ดีดเก่าๆ อันนึงกับความฝันกี่ยวกับนิทาน


เขาเป็นคนรักภาษาเก่าๆ คือภาษาลาติน กรีก โรม สนใจกี่ยวกับเทพปกรณัม ทำให้เขามีเรื่องราวในหัวจนมากลายเป็นเรื่องแฮรี่ พอร์ตเตอร์ เขาบอกว่าเวลาคุณขุดลงไปใต้ดินจนเจอหินที่ขุดต่อไปไม่ได้แล้ว เวลาคุณตกลงไป คุณจะพบว่าสิ่งที่ไม่สำคัญต่างๆ มันหลุดหายหมดเลย แล้วคุณยืนอยู่บนหินชั้นใต้ดินสุดแล้วคุณจะยืนตรงได้ แต่ถ้าตราบใดคุณยังไม่ถึงหินนั้น มันจะมีดิน มีหญ้า มีอะไรที่มันดึงเราออกไป เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่เขาบอกว่าประโยชน์ของความล้มเหลว แฮรี่ พอตเตอร์กลายเป็นหนังสือที่มหาวิทยาลัยเอาไปตีความ เอาไปวิจัยมากที่สุด ทางด้านการเมือง ทางด้านปรัชญา ทางด้านจิตวิทยา และทางด้านประวัติศาสตร์สังคม


ขอบคุณนะคะที่เป็นผู้ฟังที่ดี ขอบคุณค่ะ



 


ดู 7 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ที่คล้ายกัน

ดูทั้งหมด
bottom of page