top of page

“ชีวิตนี้เป็นสุขแล้ว ถ้าตายตอนนี้ก็พอใจ”

โดย ปลาสีน้ำเงิน




“ชีวิตนี้เป็นสุขแล้ว ” ถ้อยคำหนักแน่นของ คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ พร้อมรอยยิ้มกับแววตาที่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงที่เพิ่งผ่านเกษียณมาเดือนหนึ่งมากมายนัก เธอบอกกับเราหลายครั้ง ราวกับให้เราตระหนักถึงคำคำนี้ว่า ไม่ใช่เพียงถ้อยคำที่เอ่ยขึ้นมาง่ายๆ ในเฉพาะภาวะที่จิตใจสงบ หากแต่เป็นการเรียนรู้จากข้างในตัวเองมาหลายสิบปี กว่าจะพูดได้อย่างมั่นใจ


“เป็นสุข ต่างจากมีความสุขมากนะ”

ความหมายของสองคำนี้ จะต่างกันมากน้อยเพียงใด บางส่วนของประสบการณ์ที่ได้ยินได้ฟังจากเธอในการฝึกปฏิบัติธรรมที่สวนโมกขพลารามราวสามเดือน เมื่อราวปี 2535 สะท้อนออกมาใน ‘ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง’ บอกกล่าวถึงความยากลำบากในการฝึกจิตเหลือประมาณ แต่เธอก็ผ่านช่วงนั้นมาได้

ไม่ง่ายเลยกับการฝึกจิต เรียนรู้ใจตนเอง กระทั่งกะเทาะเปลือกความรู้สึกอันเป็นมายาทั้งหลายทั้งปวง

ออกไปได้ – เดือนกันยายน ปี 2541 นิตยสาร สาวิกา คอลัมน์ ปากการับเชิญ คุณหญิงจำนงศรี (รัตนิน) หาญเจนลักษณ์ ได้ถ่ายทอดความรู้สึกของลูกผู้หญิง กับความรู้สึกที่เรียกว่า อิจฉาริษยา : คลังระเบิดในตู้หัวเตียง ไว้ตอนหนึ่ง...


..เรื่องอิจฉาริษยานั้น นักเขียนละคร (น้ำเน่า) โทรทัศน์มักจะยกให้ตัวละครผู้หญิง… พูดถึง

‘นางอิจฉา’ ใครๆ ก็หลับตาเห็นแต่ ‘นายอิจฉา’ ไม่เห็นมีอยู่ในสารานุกรมละครโทรทัศน์


อันที่จริงผู้ชายก็อิจฉาริษยาได้ไม่แพ้ผู้หญิง เพียงแต่การเลี้ยงดูทำให้การแสดงออกไม่ เหมือนกัน...


ข่าวฆาตกรรมที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์มีจำนวนมากมายที่เนื่องมาจากความอิจฉา ริษยา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรักหรือการงาน แต่ความอิจฉาริษยาก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว ไม่ว่า

มันจะซ่อนอยู่ในใจชายหรือหญิง เหมือนเก็บคลังระเบิดไว้ในตู้หัวเตียงนอน...


ในความเป็นจริง นางเอกกับนางอิจฉามักจะอยู่ควบคู่ในคนคนเดียวกัน..เหมือนกาฝากที่

เกาะอยู่กับต้นไม้


ถ้าจะถามว่า ทำอย่างไรจะเลิกอิจฉา เห็นจะตอบว่ายาก ตราบใดที่คนเรายังมีใจที่อยากได้

ที่ต้องการ...

การตัดใจนั้นยาก แต่การทำให้ใจเราเกิดความเมตตานั้น ไม่ยากนัก ลองมองทั้งคนที่เรา

หมั่นไส้อิจฉาด้วยหัวใจเมตตาดูบ้าง เพื่อให้เห็นใจว่าเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก รู้จักสุขทุกข์

เหมือนเรา... ค่อยๆ มองเข้าข้างใน ให้เห็นว่าเราจะทำให้ปัจจุบันเป็นบวกได้อย่างไร อย่าไปกังวล

กับอนาคต จนปัจจุบันเลอะเลือน...

กว่าที่เธอจะหลุดจากเส้นใยบางเบาของพันธนาการทุกรูปแบบ อันเกาะเกี่ยวดวงใจให้เป็นทุกข์ ไม่ใช่

เรื่องง่ายเลย เธอต้องผ่านช่วงที่เป็นทุกข์กับความคิด กระทั่งหาทางออกไม่ได้ จนถึงขนาดอยากจะ

ฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็เป็นบ้ามาแล้วในช่วงหนึ่งของชีวิต อะไรเล่าที่ทำให้เธอผ่านพ้นเวลาวิกฤติช่วงนั้น

มาได้...

เมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา ณ สวนธรรม เสถียรธรรมสถาน เธอมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ว่าด้วยเรื่อง ความรักเอย...กับ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อย่างเข้มข้น ทุกมิติ ตั้งแต่ความรักระหว่างเพศ ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ความรักของสัตว์ที่ทำให้เธอมองเลยเข้าไปเปรียบกับคน ไปจนถึงการรักตัวเองให้เป็น

จึงจะสามารถรักผู้อื่นเป็น และสามารถแผ่ขยายรักนั้นไปไกลถึงสรรพสิ่งโดยมี ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ มาเป็นกำลังใจอยู่ข้างหลัง

มีคำถามมากมายในช่วงเวลาสนทนาที่ยังตอบไม่หมด ก่อนทำวัตรเย็น เนชั่นสุดสัปดาห์ ขอเวลา

คุณหญิงจำนงศรี พูดคุยถึงบางแง่มุมของความรักในบั้นปลายชีวิตกับการแต่งงานครั้งใหม่เมื่อสามปีก่อนกับ ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ นักกฎหมายระหว่างประเทศ พ่อม่ายที่มีอารมณ์ขันเป็นนิจ ซึ่ง

คุณหญิงเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มาเจอ และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง หลังการมรณกรรมของ จักษุแพทย์อุทัย รัตนิน เมื่อเกือบ 7 ปีก่อน

แต่หลังจากที่ลูกๆ ทั้งสี่มีครอบครัวมีลูกกันไปหมดแล้ว คุณแม่ของลูกๆ คุณยายของหลานๆ ประธานกรรมการโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ก็กลับมาให้เวลากับตัวเขียนนิทาน บทกวีธรรมะ บทความ ลงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ ตลอดจนหนังสือเชิงประวัติศาสตร์อย่าง ‘ดุจนาวากลางมหาสมุทร’ ประวัติตระกูล

'หวั่งหลี' ที่เป็นหนังสือขายดีของปี 2542 เธอมักใช้เวลาไปปฏิบัติสมาธิภาวนาที่วัดป่าเนืองๆ อีกทั้งยังสนใจและใส่ใจต่อปัญหาที่เกิดกับผู้หญิงเรา โดยรับเป็นประธานให้กับมูลนิธิเรือนร่มเย็น ซึ่งช่วยเหลือด้านอบรมวิชาชีพให้กับเด็กผู้หญิงในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับสำนักพิมพ์มูลนิธิเด็กอีกด้วย

ศาสตร์แห่งรักที่คุณหญิงพูดถึงในวันนั้น เป็นศาสตร์ของการเรียนรู้ตนเองในทุกช่วงขณะของชีวิต ที่เราขอนำมาเผยแพร่อีกครั้งประกอบกับถ้อยความสนทนา ก่อนการเวียนเทียนในค่ำวันนั้น เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ร่วมมองชีวิตด้านในไปพร้อมๆ กับเธอด้วย


"ประสบการณ์ดิฉันก็ไม่ได้มากไปกว่าคนที่มาในวันนี้ ทุกๆ คนก็เหมือนกัน เพราะเราต่างเป็น

สัตว์ฝูงอย่างที่อาจารย์นิธิว่า... คำว่า ความรักเป็นคำที่ยากมากที่จะสื่อความหมายให้ตรงกันเพียะ สำหรับคนแต่ละคน ยกตัวอย่าง...อย่างความรัก ในความหมายดิฉัน จะไปตรงกับของแต่ละท่านที่นั่งฟังอยู่นี่

รึเปล่า ...ก็คงจะเพี้ยนกันไปบ้าง


"อย่างเรื่องของความเป็นอมตะในรัก สังเกตมานานว่า หลายคนบอกว่ารักแท้ มันจะต้องคงทน ไม่เปลี่ยนแปลง... ดิฉันไม่เห็นอย่างนั้นเลย ลองมองเข้าไปในใจของเรา ว่ามีอะไรบ้างไหมที่คงที่

ไม่เปลี่ยนแปลง... ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือความรู้สึก มีรึคะรักไหนที่ไม่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ ที่ไม่ต้องถึงวันที่

จะต้องจากกัน... รู้สึกเขินเหมือนกันที่พูดเรื่องนี้เพราะดิฉันไม่ได้บรรลุอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่เป็นคนช่างสังเกตเท่านั้นเอง... ลองสังเกตในตัวเองว่า เวลามีความสุขจากความรัก เราสังเกตอาการสุขนั้นได้ไหม

เราลองเรียนรู้ดูซิว่ามีความสุขอย่างไร ที่จะไม่นำมาซึ่งความทุกข์ทีหลัง หรือทุกข์บ้างก็ไม่แสนสาหัส


"อย่างความรักลูกชนิดที่จะให้ดีสมใจไปหมด ก็ทุกข์หนักหนาเลยสำหรับคนเป็นแม่ ถ้าจะรักอย่างเป็นสุข ต้องให้อิสรภาพ ไม่ตีกรอบด้วยความคาดหวัง และรักอย่างเข้าใจความเปลี่ยนแปลง อย่างเรารักลูกอย่างไรเมื่อตอนเขาห้าขวบ แล้วเราจะไปรักเขาอย่างนั้น เมื่อตอนเขาอายุ 30 มันไม่เหมือนกันนะ...


"อยากจะพูดถึงความรักที่ออกจะน่ากลัว ดิฉันกับอาจารย์ชิงชัย มีบ้านอยู่ที่เชียงใหม่ อาจารย์ชิงชัยรักหมามาก มีอยู่ 4 ตัว เมื่อสังเกตความรักดิบๆ ของมัน ก็อดที่จะเห็นอะไรๆ ที่สะท้อนความใกล้เคียงระหว่างสัตว์กับมนุษย์ในเรื่องนี้ไม่ได้


เรามีสุนัขพันธุ์ผสมตัวผู้หนึ่งชื่อโมเม ขาหลังเป๋นิดหน่อยพอมีเสน่ห์ พอไปอยู่เชียงใหม่ ก็กลายเป็นหนุ่มทรงเสน่ห์สำหรับบรรดาตัวเมียในย่านนั้น โมเมจะออกไปเที่ยวผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวนั้นตัวนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วแต่ตัวไหนจะถึงเวลาพร้อมผสมพันธุ์ คราวนี้มีสาวชาวบ้านตัวหนึ่งชื่อแม่บัวแก้ว เธอรัก

และดูจะซื่อสัตย์กับโมเมไปทุกแห่งหน โมเมขาหลังไม่ดี เวลาที่เราพาเขาเดินบนสะพานข้ามฝายเขาจะ

ตกน้ำ แต่เราก็พยายามจะฝึกให้เขาเดินข้าม เขาก็ไม่กล้า

วันหนึ่ง บัวแก้วมายืนอีกฟากหนึ่งของฝาย มองโมเมแล้วกระดิกหางตั้งอกตั้งใจให้กำลังใจ โมเมถอยหน้าถอยหลังมาไม่ได้ ในที่สุด บัวแก้วค่อยๆ เดินเข้าไปหา อ้อมไปข้างหลังแล้วหันกลับมาดันก้นของโมเม ช่วยให้เดินให้ตรงแล้วข้ามมาจนได้ เราดูกันสองคนแล้วอัศจรรย์มาก แต่!

แปลกนะ... สังคมสัตว์... โมเมจะทำเหมือนบัวแก้วเป็นสตรีชั้นสอง คือยังไง ฉันเรียกเธอเมื่อไรก็ได้ แต่เขาจะไปตามตัวเมียตัวอื่นตามแต่ใจชอบ มาถึงจุดหนึ่ง เราเอาลูกสุนัขที่เรานึกว่าเป็นลูกเจ้าโมเม

แม่เขาเป็นหมาฝรั่งตัวใหญ่บ้านไม่ไกลกัน โมเมรักมากลูกสุนัขตัวนี้มาก กอดปล้ำเล่นกันทั้งวัน ไม่สนใจ

บัวแก้วเหมือนเป็นผู้หญิงชั้นสอง อะไรทำนองนั้น บัวแก้วจะหงอยมาก คอยแต่จะให้เจ้าตัวเล็กพ้นสายตาโมเม แล้วจะกัดเอาจริงๆ จังๆ แบบแม่เลี้ยงในนิทานยังไงยังงั้น โมเมต้องคอยระวังและวิ่งมาช่วยอยู่เรื่อย เวลามีช่างมาทำบ้านเราผูกโมเมไว้ เพราะเขาทำท่าดุจนทุกคนกลัว บัวแก้วจะหมอบเป็นเพื่อนไม่ไปไหน บางครั้งก็ไปคาบเอากระดูกมาวางให้ แต่วันหนึ่งหลังจากเจ้าลูกหมามาแย่งความรัก เจ้าบัวแก้วออกไปไล่ฆ่าไก่ชาวบ้านถึงสองตัว แล้วคาบซากมาวางไว้หน้าโมเม น่ากลัวนะ ความรักของบัวแก้ว


เรามองสัตว์แล้วลองพิจารณาตัวเอง ถ้าเราต้องกล้ามองตัวเองว่ามีความน่ากลัวบ้างไหมในความรักของเรา เรายอมทำอะไรแค่ไหนเพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรัก ถึงขั้นที่เราทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ หรือทำให้คนอื่นเป็นทุกข์บ้างไหม หรือทั้งสองอย่าง

ดิฉันมีลูกสี่คน ตอนนี้เขาก็เป็นพ่อแม่คนกันหมดแล้ว มีความสุขกันดีทุกคน แต่ก็เคยมีช่วงที่เรากังวลมากเหมือนกัน เมื่อเขาถึงวัยน่าเป็นห่วง เขาจะผ่านช่วงสับสนอลเวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาอยู่ไกลในต่างประเทศ ลูกคนหนึ่งมีช่วงที่ดิฉันกังวลมาก เราเห็นอันตรายที่อาจเกิดกับเขา แล้วเราแตะเขาไม่ได้นะ รู้ว่าแตะปุ๊บเขาจะไปอีกทางหนึ่งทันที ก็เขียนบทกวีถึงเขาบทหนึ่ง บอกว่า ดิฉันไม่มีอะไรจะพูด ได้แต่คอยดูเขา ชวนเขาให้มานั่งริมทะเล นั่งด้วยกัน ข้างๆ กัน ต่างคนต่างคิด แต่เรามานั่งใกล้ๆ กัน ความคิดของใครของมัน


คือจะมาถึงจุดหนึ่งที่เราต้องยอมรับว่าเขาเป็นปัจเจกบุคคล ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของเรา เขาเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ในตัวเขา ขณะนี้เขาแต่งงานแล้วมีลูกแล้ว มีชีวิตครอบครัวที่ดี๊ดี แต่จะมีอยู่ช่วงชีวิต

ที่เสี่ยงมากๆ เพราะวัยและอารมณ์ เขาผ่านช่วงนั้นมาได้ ไม่ใช่เพราะดิฉันฉลาด แล้วช่วยได้สำเร็จ แต่กลับเป็นเพราะว่าดิฉันจนปัญญา ความจนปัญญาทำให้เกิดปัญญาละมังคะ ปัญญาที่จะบอกว่ามาสิ แม่รักลูก แม่ไม่รู้จะพูดอะไร แต่เรามานั่งใกล้ๆ กัน เรามองสิ่งเดียวกันนะ มองทะเลซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

ทุกนาที ฉันเชื่อว่าเธอจะค้นพบปัญญาในตัวของตัวเอง..."

ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ กำลังนั่งฟังอยู่ด้วย ร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า


“ถ้ามองว่าความรักอย่างที่ศรีพูดเป็นลักษณะเหมือนกิ้งก่า มีธรรมชาติที่เปลี่ยนสีได้ตามเหตุและปัจจัย ผมขอเพิ่มไปอีกหน่อยหนึ่ง ว่าความรักคือกิ้งก่าที่ยืนอยู่บนขนมชั้นที่พอกพูนขึ้นมาตามสภาพเวลา และสิ่งแวดล้อม หรือในทางตรงข้าม ก็อาจลดลงเหมือนลอกขนมออกทีละชั้นได้ ขึ้นอยู่กับการสร้างเสริมหรือการกินให้หมดไปทีละน้อย ในเมื่อเรายอมรับสัจธรรมว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ผมก็ขออ้างอิง

นักปราชญ์ ชาวเยอรมันคนหนึ่ง เขาบอกว่า มนุษย์สร้างพระเจ้าขึ้นมาแล้วฉายภาพขึ้นไปบนท้องฟ้า นานเข้ามนุษย์ก็คิดว่าพระเจ้ามีจริง เช่นเดียวกับเรื่องความเป็นอมตะของความรัก มนุษย์ฉายภาพขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วก็คิดว่าความรักอมตะระหว่างเพศมีจริง ”


"ค่ะ ครั้งหนึ่งดิฉันเคยเป็นคนขี้เหงาอย่างเจ็บปวดเลย บางวันพระอาทิตย์ตกดินเหงาจนพูดไม่ออก เดี๋ยวนี้ดิฉันเป็นคนไม่เหงาเลย เคยอยู่คนเดียวในป่ามาแล้ว จะบอกว่าการปฏิบัติธรรมช่วยแก้ตรงนี้ได้

อย่างแน่นอน คือความเหงาน่ะเอาชนะไม่ได้ แต่ทำให้หายไปได้ ดิฉันใช้วิธีมองอาการของความเหงาเพื่อ

ให้เข้าใจว่ามันคืออะไร ต้องมีสมาธิพอสมควร ที่จะสังเกตมันได้ สมาธิมากไปก็ไม่เห็นมัน ต้องพอดีๆ ดิฉันเคยเขียนบทกวีภาษาอังกฤษในขณะที่ดิฉันเหงาสุดๆ พยายามจะเขียนลงไป ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ลองเล่นเผชิญหน้ามันดูน่ะ ถ้าคุณเหงาอย่าออกไปหาทางแก้เหงาข้างนอกหรือหาเพื่อนแก้เหงาเพราะคุณจะไม่มีวันเจอตัวเองเลย แล้วคุณก็จะเป็นคนขี้เหงาไปเรื่อยๆ เพราะไม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง


"สำหรับความรักก็เหมือนกัน ทันทีที่คุณพึ่งตัวเองได้ คุณก็มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไม่เรียกร้อง ความรักของเรากับผู้คนที่เรารัก จะเปลี่ยนแปลงเหมือนเทขนมชั้นเพิ่มทีละชั้นอย่างที่อาจารย์ชิงชัยว่า แล้วมันจะมั่นคงและเป็นสุข ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


"เราต้องกลับมามองในกฎไตรลักษณ์กันมากๆ – ความรักอยู่ใต้กฎนี้ใครที่มีความทุกข์อยู่

ความทุกข์ของคุณเองก็อยู่ใต้กฎอนิจจังเหมือนกัน อย่าไปฆ่าตัวตาย หรือทำอะไรบ้าๆ คุณควรจะอยู่

เพื่อที่จะเรียนรู้นะ


"ผ่านไปสักสองสามปี คุณจะมองว่าความทุกข์เป็นลาภ เพราะเราสามารถเรียนรู้จากความทุกข์

ในขณะนี้ได้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป จะเป็นคนเข้มแข็งกว่าเดิม ดิฉันเคยผ่านความทุกข์มากจนเคยคิด

จะฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็จะเป็นบ้า ทำไมหรือ เพราะความคิดมันวนเวียน ไม่หลุด เวลาจะนอนคิด ตื่นก็คิด

แต่ดิฉันหาทางออกได้เพราะหลักธรรม จึงมีวันนี้มาคุยกับคุณ


"คิดว่าชีวิตมั่นคงแล้ว ถ้าตายตอนนี้ดิฉันพอใจที่มาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะผ่านความทุกข์ที่ทำให้แสวงหาสัจธรรมของชีวิต จนเข้าใจว่าความทุกข์ ความสุขก็เท่านั้นแหละ อนิจจังทั้งนั้น


"ความทุกข์คือการที่คุณอยากจะให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่คุณอยากให้เป็น ลองดึงตัวเองออกมาสังเกตอาการแห่งทุกข์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คุณเรียนรู้จริงๆ ก็ต่อเมื่อถึงจุดหนึ่งที่รู้ว่า ความทุกข์

ความสุขมันก็เป็นส่วนของธรรมชาติของใจที่ยังมีความต้องการ คุณเรียนรู้ได้เท่าไรก็จะมีความรักที่แท้จริงได้มากเท่านั้น จะมีเมตตาโดยธรรมชาติ คุณจะอยากให้เขามีความมั่นคง คุณอยากให้เขามีการเรียนรู้ ถ้าคุณพยายามและไม่ยอมแพ้ คุณต้องศึกษาทุกข์ว่ามันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจรึเปล่าแล้วเรียนรู้มัน อย่าไปตามมัน ถ้าเรารู้จักมันดีขึ้น และมองมันด้วยอารมณ์ขัน เราทำให้ทุกข์น้อยลง


"ดิฉันเป็นยายแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าจะแต่งงานใหม่ ไม่ใช่ว่าเจอใหม่แล้วจะดีไปหมดนะ ไม่อยากแนะนำให้แสวงหา มันเป็นเรื่องโอกาส ของเวลา ของความบังเอิญมากกว่า ถ้าไปแสวงหาอาจจะปรุงแต่งทำให้ผิดพลาดได้ ถ้าเรามีความโหว่อยู่ข้างใน แล้วไปหาอะไรมาทดแทนความโหว่นั้น ดิฉันไม่เห็นด้วยเราต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุขก่อน เราจึงจะไปพบกับคนอื่นที่เขาอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุขเช่นกัน เราไม่มีอะไรคาดหวังเขา เขาก็ไม่มีอะไรมาคาดหวังจากเรา แล้วเราจะสนุกกันมากกับชีวิต เผื่อแผ่ความสนุก ความสุขให้คนอื่นได้มากด้วย เพราะเราไม่คาดหวังกัน ไม่ต้องสะสมอะไรกันแล้ว


"สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในชีวิตคู่คืออารมณ์ขัน ขอฝากไว้เลย คุณจะรักใคร จะมีความสัมพันธ์กับใครก็แล้วแต่ ขอให้หัวเราะมีอารมณ์ขันกันมากๆ ในความขัดแย้งดูดีๆ ก็น่ารักน่าขันได้นะ เป็นศิลปะการใช้ชีวิตร่วมกัน... เป็นสุขตอนนี้ คงมีส่วนจากการปฏิบัติธรรม การศึกษาตัวเอง ศึกษาจนเข้าใจว่าชีวิตเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง แต่ก็ยังมีกิเลสอีกเยอะนะคะไม่ใช่วิเศษอะไร


"ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตเป็นสุขแล้ว ไม่ใช่มีความสุขนะ ถ้าเราเป็นสุขเราอยากจะเผื่อแผ่ให้คนอื่นมาก คนที่มีชีวิตที่ยังไม่เป็นสุข การช่วยเหลือคนอื่นก็ยังจะไม่เต็มที่ คือเราต้องพึ่งตนเองทางอารมณ์ให้ได้ก่อน การพึ่งคนอื่นทางอารมณ์ล่อแหลมต่อการเป็นทุกข์มาก คุณจะเป็นสุขถ้าเห็นและรับได้ว่า ทุกอย่างเป็นอนิจจัง เราจะมีอารมณ์ขันได้มากกว่าคนที่ยึดอะไรไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง


"ความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับสามีเป็นสุข เรามีเรื่องหัวเราะด้วยกันทุกวัน หาเรื่องขบขันด้วยกันเยอะมาก เขาว่าคนแก่ต้องเรียนรู้อยู่เรื่อยๆ ไม่เรียนรู้เรื่อยๆ สมองฝ่อ เราสนุกกับการเรียนรู้ และหัวเราะกันอยู่เรื่อย


"ดิฉันมาแต่งงานใหม่เมื่ออายุ 57 ความแก่มีความดีของมันเยอะ ไม่ค่อยกลัวว่าใครจะว่าอย่างนั้น อย่างนี้ สามารถทำอะไรต่ออะไรอย่างอิสระขึ้น มีเพื่อนหัวเราะ มีเพื่อนถกเถียงความคิด มีการช่วยเหลือกันได้มาก ดิฉันอยากฝากบอกคนที่กลัวแก่ว่า อย่ากลัวเลย วัย 50-60 เป็นช่วงที่อิสระมาก ลูกเต้าก็ลงตัวกันหมด เราก็คิดซะว่าเงินทองไม่จำเป็นต้องเก็บสะสมมากมาย ไม่เหมือนหนุ่มสาวที่ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว


"ช่วงวัยนี้เป็นวันที่เป็นสุขที่สุด เป็นสุขคือไม่ไขว่คว้า คือมันไม่ร้อน มันเย็นดี เราจะเป็นสุขได้

ก็เพราะว่าเรามีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เรียนจากทั้งสิ่งภายนอก และภายในตัวเอง เราเข้าใจความเปลี่ยนแปลง เราไปกับการเปลี่ยนแปลงได้ และเรียนรู้กับการเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด"


 

จาก: คอลัมน์ รายงานพิเศษ เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 8 ฉบับที่ 405 วันที่ 6 -12 มี.ค. 2543


ดู 6 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ที่คล้ายกัน

ดูทั้งหมด
bottom of page