top of page

เรียนรู้วิชาตัวเบา

กับ คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์


lightning Talk กับ สายสวรรค์ขยันยิ่ง




คุณหญิง : ปีนี้จะ 76 ค่ะ


สายสวรรค์ : ปีนี้จะ 76 แล้ว ยังสดชื่นและก็สวยงาม เรียกงามตามวัย อันนี้มันมีเรื่องปัจจัยการใช้ชีวิต การดูแลตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องยังไง วันนี้จะขอเคล็ดวิชาเยอะเลยนะคะคุณหญิง เริ่มจากประสบการณ์ชีวิต จะ 70 กว่าปีที่ผ่านมา คุณหญิงผ่านร้อนผ่านหนาวมา อะไรคิดว่าเป็นส่วนที่บ่มเพาะที่ทำให้เป็น

คุณหญิงในวันนี้บ้างคะ


คุณหญิง : หนึ่งนะคะ คือ...ไม่มีเคล็ด (หัวเราะ) สองคือคิดว่าถึงจุดหนึ่งที่เห็นว่า อะไรที่ผ่านเข้ามาแล้ว มันก็ต้องผ่านออกไป มันไม่มีอะไรที่มันคงที่ค่ะ อันนี้เป็นการพูดแบบคนแก่


สายสวรรค์ : นี่ธรรมะ มากๆ เลยนะคะ


คุณหญิง : คนแก่ขนาดนี้ก็คงต้องเห็นอันนี้ทุกคน


สายสวรรค์ : เริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ตอนเด็กๆ หรือว่าตอนเป็นสาว วัยรุ่นมองเห็นอะไรแบบนี้บ้างมั้ยคะ


คุณหญิง : ป้าศรีคิดว่า ช่วงที่ป้าศรีหลงทางมากที่สุดคือช่วงสาวนะ ช่วง 30-40 เนี่ย เป็นช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองหลงทางมากๆ เลย

สายสวรรค์ : 30-40 ช่วงนั้นนี่คือหลง หลงอะไรไปคะ


คุณหญิง : ช่วงที่ร้ายที่สุดคือช่วง 30 ปลาย เกือบ 40

สายสวรรค์ : เกิดอะไรขึ้น ทำอะไรอยู่ตอนนั้นหรอคะ

คุณหญิง : ป้าศรีว่า เป็นช่วงของความหลงกับ...สิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นความสำเร็จ น่ากลัวมาก ซึ่งจริงๆ

มันไม่ใช่หรอกค่ะ มันหลงกับชื่อเสียง กับสารพัด ตอนนั้นเป็นช่วงที่งานเริ่มเป็นที่ยอมรับ เป็นช่วงที่ขึ้นเวทีนะคะ ในเรื่องของงานกวีนิพนธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่คนสมัยนี้คงลืมหมดแล้วล่ะ ที่ คุณดนู

ฮันตระกูล เอางานกวีนิพนธ์ของป้าศรีและของคุณ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ไปทำเป็นงานคอนเสิร์ตใหญ่ และคอนเสิร์ตนั้นมันขายตั๋วดีมาก และคุณตู่ นพพล โกมารชุน เข้ามามีส่วน คุณแอ๋ว อรชุมา คุณจรัญ มโนเพชร มันขายดิบขายดี เรารู้สึกว่าเราเว่อร์ไปเลย รู้สึกมันไม่ใช่ค่ะ มันก็เลยพาชีวิตเราทำอะไรที่มัน

ไม่ถูกต้อง ทำอะไรที่ไล่ตาม "ความฝัน" คือมันไม่มีหรอกค่ะ มันไม่จริง มันไม่ใช่ของจริง แล้วมันทุกข์

มันทุกข์มาก


สายสวรรค์ : พอเลี้ยวผิดซอยปุ๊บ มันก็พาให้หลง ขับรถหลงทางไปเรื่อยๆ


คุณหญิง : แล้วมันก็ไล่ตามสิ่งที่เราคิดว่าวิเศษ วิโส ทั้งหมดมันไม่ใช่ ณ. วันนี้เรามองย้อนกลับไป ถามว่าอยากจะเป็นสาวอีกไหม ไม่เอาล่ะ อยากจะเป็นเด็กอีกไหม ไม่เอา อยากจะเกิดอีกไหม ไม่เอา


สายสวรรค์ : กว่าจะค้นพบแบบนี้ได้ เข้าสู่ปีไหน วัยไหน แล้วเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้คิดได้คะ ตอนที่หลงไปนี่ หลงเป็นสิบๆ ปีเลยใช่มั้ยคะ


คุณหญิง : หลงไปเยอะค่ะ ช่วงใหญ่ๆ เลยนะคะ


สายสวรรค์ : อะไรมาจุดประกายคะ


คุณหญิง : ความทุกข์ค่ะ แล้วเริ่มสังเกตอาการของความคิดของตัวเองว่า ไอ้ความคิดเนี่ย มันวนอยู่กับ

ตัวฉัน และก็ของฉัน และมันจะเห็นกระบวนการของความคิด ว่ามันวนอยู่กับความอยาก ความไม่อยาก ความเอา เอาไม่ได้ เอาได้ ความโกรธ ความกลัว คือสามอย่างนี้ความจริงมันเป็นอันเดียวกันหมดนะคะ

มันพ่วงกันน่ะ คนไม่รู้ คำว่าคนไม่รู้นี่ คนอย่างป้าศรีในขณะนั้น ไม่รู้จริงๆ แล้วมันอันเดียวกันหมด คือ เพราะอยาก จึงกลัว กลัวเสีย จึงโกรธเมื่อไม่ได้อย่างใจ มันเป็นวังวนที่น่ากลัวมากนะคะ มันหมุนลง แต่ว่าจะเป็นโชคหรืออะไรก็ไม่ทราบนะคะ เราเห็นมัน คือ ถึงจุดที่มันไม่ไหวแล้ว เราเห็นน่ะค่ะ เมื่อเราเห็นก็จะออกจากมัน คือมันรู้ แต่มันออกไม่ได้ค่ะ จากวังวนอันนี้


สายสวรรค์ : ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะออกไม่ได้นะคะป้าศรี


คุณหญิง : ป้าศรีก็เลยรู้ว่ามันต้องมีทางออก เพราะว่าครั้งนึง เมื่อตอนอายุซัก 30 ผู้ที่ทำให้ป้าศรีไปทดลองสิ่งนี้ เป็นคุณแม่สามี ท่านบอกว่าให้ไปเข้าแลป บอกว่าจะไปเรียนรู้ จะฉลาด จะช่างศึกษาแค่ไหน ถ้าไม่สัมผัสของจริง มันไม่รู้จริงหรอก และของจริงที่จะสัมผัสได้ คือในตัวเองเท่านั้น เพราะว่าไปฟังคนอื่น มันได้แต่รู้ ใช่มั้ยคะ จากหู จากเอาไปคิด จากอะไร แต่อะไรล่ะ ที่เราจะสัมผัสได้จริงๆ แล้วนั่งสัมผัสมันและดูอาการของมัน แล้วดูธรรมชาติของมัน ว่ามันเปลี่ยนแปรอยู่ตลอดเวลา ข้างในของตัวเองเท่านั้น ถูกมั้ยคะ


สายสวรรค์ : นั่นคือชี้ทางสว่าง


คุณหญิง : ตอนนั้นป้าศรีอายุ 30 แล้วป้าศรีไปทดลอง และป้าเห็นจริงๆ แต่ด้วยความที่ทุกข์ตอนนั้ยังไม่ชัดเจน เรากลับมาแล้วมันมาหลงไงคะ และมันหลงจนถึงที่สุด ทั้งทรัพย์สิน เกียรติ สิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าความสำเร็จต่างๆ ซึ่งมันไม่ใช่หรอก สิ่งเหล่าเนี้ยค่ะมันหลงจนกระทั่งถึงจุดนึงที่มันทุกข์ที่สุดแล้ว และ ณ. วันนั้นน่ะค่ะ เรารู้ว่าที่เราเคยทดลองในสมัยนั้น นั่นคือทางออก


สายสวรรค์ : ตราบใดที่ไม่พบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส คนเรามักจะไม่มองเห็นทางธรรมนะคะ แต่ว่าคุณหญิงเองแม้ว่าจะศึกษามาบ้าง ยังไม่ทุกข์ ก็ยังไม่ตระหนักรู้ว่ามันคือสิ่งที่ใช่ที่สุดในชีวิต พอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยคะ ช่วงที่ทุกข์ที่สุดมันคืออะไร


คุณหญิง : เราข้ามไปว่า เราไปทำยังไงดีมั้ยคะ


สายสวรรค์ : ค่ะ แก้ทุกข์นั้นด้วยธรรมะ ทำยังไง


คุณหญิง : ป้าไปสวนโมกข์ค่ะ ตอนนั้นท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ และยังสอนอยู่ ก็ไปแบบระหกระเหินมากเลยนะคะ คนเดียว หิ้วกระเป๋าไปเลยค่ะ เราสรุปสั้นๆ ว่า การไปอยู่อย่างมีเสื้อผ้าแค่ผ้าถุงดำ เสื้อขาว

เข้าห้องน้ำ ซักตาก ใส่ใหม่วนอยู่แค่นั้น การอยู่คนเดียว ท่านพุทธทาสให้ไปอยู่คนเดียวเลย ไกลจากกุฎิ

ข้างป่า การเห็นความตายของสัตว์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น หมา แมว นก การสังเกตอาการ

ของจิตตัวเองว่าอะไรที่ทำให้จิตทุกข์ การเห็นความไม่เที่ยงไม่แท้ไม่แน่ไม่นอนของความคิดของตัวเอง

ของความรู้สึกที่มันผ่านเข้ามา ผ่านออกไป การเห็นความตายของสัตว์รอบตัว การเห็นสิ่งทั้งหมดเนี่ย มันทำให้เราเห็นเลยว่า เราอยู่ในวังวนของการแสวงสุขหนีทุกข์ที่น่าเหนื่อยเหลือเกิน และเราก็เห็นความตายมันเกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น ใบไม้ ดอกไม้ สัตว์ แมลงต่างๆ ทำห้เราก็เป็นส่วนหนึ่งของวังวนนี้ แล้วตัวกูมันจะสำคัญอะไรนักหนา เหนือคนอื่น เหนือสัตว์ เหนืออะไรแค่ไหน คือมันเป็นเองค่ะ อยู่ 3 เดือน อยู่วันต่อวัน เรียนรู้ไปวันต่อวัน หยุดเมื่อไหร่ก็หยุดไม่ต้องไปตั้ง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรียนรู้ในเรื่องของการไม่ยึดติดกับเป้าซักเท่าไหร่


สายสวรรค์ : ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น หลุดไปเลย จาก 3 เดือนนั้นเลยหรอคะ


คุณหญิง : อย่าบอกว่ามันหลุดไปได้ แค่มันหลุดไปในระดับที่ คือถ้ามันหลุดไปหมดคง...อรหันต์ (หัวเราะ)


สายสวรรค์ : คุณหญิงเลยถ่ายทอดออกมาเป็นวิชาตัวเบา ขอซักข้อได้มั้ยคะ ทำอย่างไรจึงจะตัวเบา

สบายได้ มีข้อนึงที่อ่านแล้วขอบมากน่ะค่ะ คือเรื่องของการให้ การให้ไม่เพียงแค่ให้ ที่คุณหญิงเขียนในหนังสือนะคะ ต้องรู้จักให้แล้วต้องรู้จักรับด้วยนะคะ อันนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่พอจะให้เป็นแนวทางสั้นๆ ได้มั้ยคะ


คุณหญิง : มันก็มีเหมือนกับทุกคนคือ อยากได้แล้วก็ไม่อยากเสียใช่มั้ยคะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันมีอีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ เวลาเราได้อะไรมาเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ของฉันแบบผูกขาด คนอื่นเขาก็อยากได้เหมือนกัน แล้วจริงๆ เราก็ใช้ได้แค่นี้ จะอะไรกันนักหนา เพราะฉะนั้นมันจะมีส่วนของใจที่ป้าศรีคิดว่า

ทุกคนมีนะ ที่อยากจะแบ่ง ป้าศรีคิดว่าไม่ใช่ตัวเองคนเดียว คิดว่ามีทุกคนนะคะ เด็กๆ เราก็เห็น เวลาเขามีอะไรเยอะๆ เขาก็แบ่งให้เพื่อน เอาง่ายๆ เป็นรูปธรรม เวลาใส่บาตร เราจะได้รับการบอกเล่าว่า เวลาใส่บาตรให้อธิษฐานนั่นอธิษฐานนี่ เรารู้สึกในใจเลยว่านี่มันไม่ใช่การให้ มันการเอาใช่ไหม การใส่บาตร

มันเป็นเรื่องของการปันในสิ่งที่เรามีให้กับผู้ที่ประพฤติตน สะอาดบริสุทธิ์ และนึกถึงสงฆ์ผู้เสียสละ คือผู้อนาคามี ไม่มีอะไรเป็นของตน ใจของเราเวลาให้คือการให้ท่านได้อยู่ในศีล ในสิ่งที่ท่านเป็น การเป็นอยู่

ที่บริสุทธิ์ เรารู้สึกแค่นั้นเอง ป้าศรีเห็นว่าเวลาเราให้แบบไม่ห่วงอะไร ใจมันโล่ง เบาสบาย เลยพิจารณาว่า การรับก็เป็นศิลปะนะ เพราะการเกรงใจเขา ในเมื่อเขาเต็มใจจะให้ หรือว่ากลัวจะเป็นบุญคุณ มันก็อัตตาของผู้รับอีก แต่เราก็ต้องดูนะว่าคนที่เขาให้เรา เขาให้อย่างไร


สายสวรรค์ : ถ้าต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ใจ ผู้ให้ให้อย่างบริสุทธ์ใจ ผู้รับก็เต็มใจรับด้วยความบริสุทธิ์สำนึกขอบคุณ นี่คือมันสวยงามมาก ตัวเบามาก พลังงานสวยงาม นี่แค่หนึ่งข้อจากวิชาตัวเบา ดิชั้นเชื่อว่าหลายท่านเป็นแฟนคลับ อ่านหนังสือคุณหญิงอยู่แล้วนะคะ ไม่ว่าจะเป็นวิชาตัวเบา หรือหนังสืออื่นๆ เช่น ฝนตกยังต้องฟ้าร้องยังถึง และอีกหลายๆ เล่มนะคะ ก็จะได้เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและความงดงามไปมากทีเดียว


เข้าสู่ช่วงสุดท้ายค่ะ ตอนนี้สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนะคะ ในฐานะที่ดิชั้นอยู่กับผู้สูงอายุซึ่งยังสดใส ยังกระฉับกระเฉง และก็ยังทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมอีกมากมายอย่างต่อเนื่องนะคะ วันนี้ต้องขอข้อคิดสำหรับช่วงท้ายนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุค่ะ ว่าควรทำใจอย่างไร เตรียมตัวอย่างไร โดยเฉพาะคุณหญิง จะสนใจในเรื่องของการที่จะจากโลกนี้ไปอย่างมีคุณภาพ อย่างสวยงาม คุณหญิงจะให้ข้อคิดในเรื่องนี้อย่างไรดีคะ


คุณหญิง : ป้าศรีไม่บังอาจให้ข้อคิดนะคะ แต่พูดถึงตัวเองดีกว่า ว่าตัวเองคิดยังไงนะคะ คือมีความรู้สึกว่า เวลามันเหลือน้อย และในความเหลือน้อย เวลามันมีความหมายมากเลย คำว่าความหมายไม่ใช่ว่าต้องทำไอ้โน่นไอ้นี่ให้เสร็จ แต่ความหมายของคุณภาพของใจน่ะค่ะ คิดว่าอันนี้สำคัญที่สุด ทีนี้คุณภาพของใจอยู่ตรงไหน คิดว่ามันอยู่ที่คำว่าเอาไว้เป็นของฉัน มันทำให้เหนอะหนะนะ ทีนี้สิ่งที่จะเอาไว้เป็นของฉันนั้นคืออะไรมากที่สุด คนใช่ไหม สิ่งที่ป้าศรีพยายามทำทุกคืน คือคิดว่าคนข้างๆ ตัวเราเนี่ย คือสามีที่เป็นคนดีมากๆ เป็นสามีที่ดีมากสุดๆ เลย เราแต่งงานกันเมื่ออายุมากแล้วนะคะ เราจะไม่เห็นเค้าอีกเลย ไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้า เพราะว่าเราไม่คิดถึงชาติหน้า คืนนี้หลับไป จากกันแล้ว ลูกตอนนี้แต่ละคนก็ห้าสิบสี่สิบกว่ากันแล้วนะคะ จะไม่เห็นกันอีกเลยจบ


สายสวรรค์ : สมมุติแบบนี้ทุกๆ คืนก่อนเข้านอน


คุณหญิง : และทำให้มันชัดๆ เลย ไม่เห็นจริงๆ


สายสวรรค์ : แล้วหลับสบาย ไม่ทุกข์ ไม่คิดกังวล


คุณหญิง : แต่มันมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำคือว่า อะไรที่เราทำไปแล้วในชีวิต ไม่ว่าผิดหรือถูก มันจบไปแล้ว มันไม่ใช่ของจริง ปัจจุบันที่นอนอยู่บนเตียงนี่คือของจริง เพราะฉะนั้น งานที่ทำแล้วค้าง หรืออะไรที่ค้างอยู่ ช่างหัวมันค่ะ เพราะเราจะไม่ตื่นแล้ว มันก็ต้องเป็นของมันตามนั้นค่ะ ช่วยไม่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ทำอยู่


สายสวรรค์ : น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่วิตกกังวล นอนไม่หลับ ห่วงคนนั้นคนนี้ ห่วงสมบัติ ห่วงงาน


คุณหญิง : มันช่วยไม่ได้ค่ะ เพราะว่ามนุษย์เยอะแยะมากมายเหลือเกิน ก็ตายกันไปอยู่แล้ว เราก็แค่หน่วยหนึ่งของมหาศาล ความตายเรามันจะใหญ่โตอะไรนักหนานะคะ ถามว่าเราวิเศษวิโสปลดปล่อยได้หมด

ไม่จริงนะคะ ต้องยอมรับว่าเราก็ยังมียึด ก็ยังมีติด เราก็ดูว่าการยึดการติดอันนั้น เราก็ดูว่านี่แหละ ทุกข์

ของเธอ อีกอย่างที่ทำอยู่ขณะนี้อย่างมากๆ เลยก็คือ การทำให้ประเทศไทยเนี่ยมีการดูแลผู้สูงอายุ ที่ทำให้ตายได้โดยไม่ยึด ไม่สร้างปัญหาให้ลูกหลาน เช่น เรื่องที่พูดอยู่ตลอดเวลา ก็คือเรื่องของความกตัญญู


ความกตัญญูเนี่ย ป้าศรีบอกลูกๆ เลยว่า กตัญญูให้มันถูกทาง ฉันรักแม่ ฉันขาดแม่ไม่ได้ เพราะงั้น

ฉันต้องยื้อแม่เอาไว้จนถึงที่สุด นั่นไม่ใช่กตัญญู นั่นเห็นแก่ตัว ตัวกู ฉันขาดไม่ได้นะคะ อันที่สองกตัญญูที่

ป้าศรีเห็นเยอะมากก็คือ จะบาปมั้ย ถ้าปล่อยให้แม่ไป ป้าศรีทำพินัยกรรมชีวิตไว้แล้ว เค้าเรียกหนังสือแสดงเจตจำนงว่า ป้าศรีไม่ให้ยื้อนะคะ คิดให้ดีๆ ว่ามันจะเป็นบาปรึเปล่าที่ตัวเองยื้อให้แม่ทรมาน ยึดเอาไว้เพราะตัวเองกลัวบาป อันที่สามคือแล้วคนอื่นจะว่ายังไงนั้นก็ตัวกูอีก เพราะฉะนั้น กตัญญูสามตัวเนี่ยพิจารณาให้ดีนะคะ การตายเนี่ย ป้าศรีศึกษาเยอะมาก ป้าศรีทำงานทางด้านนี้ ทั่วโลกที่ป้าศรีเดินทางไป ฝรั่งเขาเรียกว่าHospice มีบทบาทมากในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ทั้งตัวผู้ป่วยเองและทั้งผู้ดูแล เราก็คือประเทศพุทธนะคะที่เรามีอันนี้เป็นพื้นฐาน


สายสวรรค์ : วันนี้เราก็ได้ข้อคิดดีๆ และเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่า จากคุณหญิงจำนงศรี

หาญเจนลักษณ์ หลายท่านอาจจะเป็นผู้สูงอายุที่ชมอยู่ในเวลานี้ หลายท่านอาจจะเป็นสมาชิกในครอบครัว บางท่านเป็นลูก บางท่านเป็นหลาน นี่คือสิ่งที่บุคลากรในประเทศของเราท่านหนึ่ง ที่เห็นอะไรมามากมายมาถ่ายทอดให้ฟัง อยู่ที่ท่านจะหยิบจับเรื่องราวใดๆ เป็นแง่มุมดีๆ แล้วไปใช้ในชีวิตของท่าน ไปใช้ในครอบครัวของท่าน ไปใช้ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้านของท่าน และที่สำคัญคือเราจะขอความรู้และร่วมกันเป็นพลังขับเคลื่อนแนวคิดที่คุณหญิงได้พูดเมื่อครู่ ก็คือระบบการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะสุดท้าย อันนี้น่าสนใจมากๆ พลิกโฉมประเทศเลยนะคะ ระบบสาธารณสุขและการเตรียมคนให้เพร้อมในช่วงบั้นปลายชีวิต ที่พร้อมจะจากไปอย่างงดงามนี้สำคัญมากๆ คงจะต้องมีโอกาสขอกราบเรียนเชิญคุณหญิงมาพูดคุยกันใหม่นะคะ วันนี้ขอกราบขอบพระคุณมากๆ ค่ะ และนี่ก็คือคุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์นะคะ วันนี้ท่านและดิชั้นลาไปก่อน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


 


 

ดู 3 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page