top of page

หมาน้ำสาน(1)

คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์




ข้าพเจ้ากับเจเจ มีบ้านสวน ชื่อ น้ำสาน ในชนบทชานเมืองเชียงใหม่ เตรียมไว้ว่าจะไปอยู่อย่างถาวร

ในไม่ช้านี้ ตอนนี้ก็ขึ้นๆ ล่องๆ ไปอยู่ครั้งละหลายวัน ด้วยเหตุว่าไปสร้างห่วงไว้ที่นั่นถึงสองห่วง อันที่จริงคำว่า “บ่วง” จะตรงกับความจริงมากกว่า เพราะระยะไหนอยู่กรุงเทพฯ นานเข้าก็เริ่มรู้สึกมีอะไรกระตุกๆ ดึงๆ อยู่ลึกๆ จะให้ไปบ้านน้ำสานให้ได้ สองคนตายายมองเข้าไปในใจ ก็พยักหน้ารับว่า… เอาอีกแล้ว… คิดถึงสวน คิดถึงหมา ไปกันเถอะ แล้วเราก็หาวันว่างจากภาระเมืองกรุง ไปชนบทเชียงใหม่ ด้วยใจอันเบิกบาน


บ้านน้ำสานชื่อ น้ำสาน เพราะข้าพเจ้าเป็นคนรักน้ำ ชื่อเล่นลูกสาวมี “น้ำ” นำหมดทั้ง 3 คน… น้ำผึ้ง

น้ำหวาน น้ำอ้อย… ทั้งสามให้ความชุ่มชื่นใจกับแม่ได้สมชื่อ ถึงแม้บุคคลิกภาพของแต่ละคนจะไม่ถือว่าเย็นหรือหวานตามมาตราฐานหญิงไทยทั่วไปก็ตาม (หลานยายคนหนึ่ง ก็ชื่อ “น้ำใส") สำหรับลูกชายจะให้ชื่อ “น้ำ” บ้างก็กระไรอยู่ ด้วยข้อจำกัดทางภาพลักษณ์เพศชาย จึงละเว้นที่จะตั้งชื่อหวานเย็นแบบน้องสาวทั้ง 3 ซึ่งเขาก็ขอบใจข้าพเจ้ามาจนทุกวันนี้


บ้านน้ำสานปลูกบนที่ดินผืนเก่าที่มีคนมาขายให้นานนับ 20 ปีมาแล้ว เมื่อสมัยที่ชนบทชานเมืองเชียงใหม่ยังไม่เป็นที่ปรารถนาของคนกรุงเหมือนดังทุกวันนี้ ความที่เคยเป็นสวนลิ้นจี่เก่าแก่ จึงมีไม้ป่ากิ่งก้านสาขาใหญ่ปะปนกับต้นลิ้นจี่ที่ยังเหลืออยู่หลายต้น พื้นที่เป็นเนินเขามีธารน้ำที่เรียกกันว่า “เหมือง”ไหลเลาะ มีสระน้ำระดับต่างๆหลายบ่อ นอกจากนั้นยังได้ขุดคูรับน้ำจากเนินให้ใหลลงบรรดาสระเล็กสระน้อย ไม่ให้ขังแฉะแช่รากต้นไม้ที่เราปลูกไว้ปนเปกันไป มีทั้งไม้ผล ไม้ดอกหอม ไม้ดอกสวย สมุนไพร จนเจเจเริ่มบ่นว่าหมาจะไม่มีที่วิ่ง


ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกับข้าพเจ้า ทำให้สวนลิ้นจี่เก่ากลายมาเป็นสวนผสมบ้านน้ำสาน คือ “ปิ่น” (ศุภชลาศัย) จารุศร เพื่อนราชินีรุ่นน้อง บัณฑิตบัญชีจุฬาจอมลุย ที่ทิ้งกรุงเทพฯมาทำสวนทำนองป่าให้บรรดาคนรักต้นไม้ ประเภทที่ไม่ชอบจัดระเบียบธรรมชาติจนเคร่งครัดไปนัก


เจเจกับข้าพเจ้ารู้สึกว่าบ้านน้ำสานเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ด้วยมีทั้งสายน้ำ ทั้งน้ำซับที่ไหลอยู่ใต้ดิน มีน้ำฝนจากท้องฟ้า และยังมีน้ำธรรมชาติที่จ่ายมาตามระบบจัดสรรที่เรียกกันว่า “ประปาภูเขา” ช่วยสานสร้างให้ความชุ่มฉ่ำ จึงตั้งชื่อบ้านสวนของเราอย่างนี้ หมาบ้านนี้ก็เลยเป็น ”หมาน้ำสาน” โดยปริยาย

ย่านบ้านน้ำสานมีชุมชนสุนัขที่ไม่เล็กนัก รวมบ้านเราแล้วเห็นจะไม่น้อยกว่า 20 ตัว มีพวกหมาปากซอย พวกหมาในซอย พวกหมาสวนแก้ว พวกหมาน้ำสาน พวกหมาแถวสำนักงานผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ สังคมหมาตรงนั้นมีสีสัน ชีวิตชีวา น่าสนใจ คนที่เปิดใจกว้างไม่ถือคนถือหมาจนเกินไป จะได้ความคิดเกี่ยวกับชีวิตหลายอย่าง ถ้ารู้จักมองหมาและสังคมหมา แล้วมองเข้ามาดูตัวเองและสังคมคนรอบตัว


ข้าพเจ้ากับเจเจเป็นคนประเภทไม่ถือหมาถือคน จึงติดตามดูละครชีวิตพวกหมาๆ ได้อย่างสนุกสนาน

ความที่ทั้งเจเจและทั้งตัวข้าพเจ้าเองเป็นคนรักหมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจเจ ซึ่งมีอาการเข้าขั้นที่ว่า ในวันที่ฟ้าฝนมืดมัว ถ้าเห็นหมาก็ฟ้าสว่างได้


ยังไม่ทันไปอยู่ บ้านสวนของเราก็มีหมาที่เป็นสมาชิกถาวรถึง 3 ตัว ไม่นับสมาชิกประเภทกึ่งถาวร ประเภทชั่วคราวที่คนนั้นมาฝาก หรือประเภทขาจรที่ติดคนนั้นคนนี้มา หมาตัวแรกของบ้านน้ำสาน ชื่อโมเม เป็นหมาสีดำขาเป๋ที่มีเสน่ห์ทางเพศสูง บรรดาหมาสาวๆ ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงพากันติดเกรียวกราว

ถ้าคิดในเชิง “น้ำเน่า” ก็เห็นจะพูดได้ว่า “ก็น่าหรอก” เพราะโมเมร่างใหญ่ กะโหลกกว้าง คางเข้ม ขนเป็นเงาหยักโศกดำสนิท เขี้ยวขาว ตาสีเม็ดลิ้นจี่ ขาคู่หลังที่ลีบเล็กกว่าขาหน้าเล็กน้อย ขาหลังที่ลีบนี้ทำให้โมเมเดินส่ายท้าย ปัดซ้ายปัดขวาพอดึงดูดสายตา นับเป็นจุดด้อยที่เสริมความเด่นด้านรูปธรรม

ข้าพเจ้านึกเอาเองว่า ความพิการแต่พองามนี้ อาจจะเป็นจุดที่สร้างความความสงสารแกมพิศวงในหัวใจสาวๆ สุนัข นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีความเท่สมชายของโมเม ซึ่งมีเลือดผสมระหว่างหมายุโรป พันธุ์ดุร้าย

ไม่เอาใคร กับพันธุ์ใจดีที่ยิ้มแย้มเอาใจคนทั้งโลก เลือดผสมแบบสายพันธ์สากลชั้นดีนี้ ทำให้โมเมออกจะ

มีราศรีทำนองศักดินาสุนัข ไม่ทราบว่าหมาสาวๆ จะมองเห็นราศีประเภทหนุ่มลูกครึ่งนักเรียนนอกรูปหล่อพ่อรวยในตัวโมเมไปด้วยหรือไม่

ทั้งนี้เพราะพ่อโมเม ชื่อแตงแตง เป็นร๊อทไวเลอร์ (Rottweiler) ของเจเจ เมื่อสมัยอยู่ที่บ้านในเมืองเอกรังสิต ร๊อทไวเลอร์เป็นสุนัขพันธ์ุดุที่ผู้กำกับหนังฮอลลีวูดชอบให้เล่นบทบาทหมาผู้ร้าย หรือไม่ก็หมาซาตาน หรืออะไรร้ายๆ ทำนองนั้น หมาสายพันธุ์นี้ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าจ้องหน้าหรือสบตา ข้าพเจ้าเองเคยหลงไปมองหน้ามองตาพ่อเจ้าโมเมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว นั่นฝ่ายพ่อ…

ส่วนแม่โมเมนั้น ชื่อ โกลเด้น เป็นหมาขนพลิ้วสีทองที่เรียกกันว่า โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever) เป็นสายพันธ์ุมีความรักในหัวใจอย่างล้นเหลือ หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เป็นหมาใหญ่ ที่สวยงามและรักคนรักเด็กรักสังคมอย่างมากมาย โมเมจึงเป็นผลผลิตของการผสมข้ามสายพันธ์ที่รวมความเป็นตรงข้ามอย่างสุดโต่งไว้ในสายเลือด เจเจจึงยืนยันอย่างภาคภูมิว่าโมเมเป็นหมาที่น่าสนใจมาแต่กำเนิด


ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าต้องออกตัวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยตื่นเต้นกับหมาฝรั่งพันธุ์แท้ จะนิยมหมาพันทางหรือหมาไทยมากกว่า แต่ในเมื่อที่มาของหมาน้ำสานมักจะมีต้นเหตุจากเจเจซึ่งรักหมาใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งดี หมาน้ำสานประเภทถาวรจึงมีสายเลือดฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีพันธุ์แท้สักตัวเดียว เรียกว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นการพบกันตรงกลางระหว่างสองตายาย

ความที่แม่ตั้งท้องตั้งแต่วัยยังไม่เต็มขวบ โมเมและพี่น้อง 9 ตัวซึ่งเป็นลูกครอกแรกจึงเบียดกันแน่นอยู่ในท้องแม่ จนคลอดออกมาพิการและอ่อนแอจนทำท่าจะไม่รอดไปตามๆกัน


ข้าพเจ้าเห็นหน้าโมเมครั้งแรกเมื่ออายุแค่ 3 –4 อาทิตย์ พี่น้องบางตัวตายจากไปจนเหลือแค่ 4 – 5 ตัว ทุกตัวสีดำสนิท ยกเว้นโมเม ซึ่งมีปลายตีนหน้าข้างขวาเป็นสีขาว ข้าพเจ้าก็ชี้ว่าจะเอาเจ้าตีนขาวนั่นแหละไปอยู่บ้านน้ำสาน ปรากฏว่าในไม่ช้าทุกตัวตายหมด เหลือแต่เจ้าตีนขาวตัวเดียว เจ้าตีนขาวเลยได้ชื่อว่า “โมเม” คือโตขึ้นมาอย่างโมเมรอดมาได้ยังไงก็ไม่รู้

เมื่อแรกเราพาโมเมเดินทางมาเชียงใหม่เมื่อกลางปี 2541 ตอนนั้นโมเมอายุได้ 4 เดือนเศษ แต่ตัวโตพอๆ กับหมาไทยขนาดกลางที่โตเต็มที่แล้ว เรียกว่าเป็นลูกหมาที่ตัวโต ตีนโต แต่ขาหลังใช้การเกือบไม่ได้ เดินตุปัดตุเป๋ นั่งก็ไม่ได้เพราะบั้นท้ายลีบเล็ก เจเจวุ่นวายกับการจัดโภชนาการและกิจกรรมออกกำลังกาย เพื่อให้โมเมเติบโตเป็นปกติให้จงได้ โมเมได้กินไข่ กินไวตามิน แร่ธาตุ ตลอดจนอาหารสุขภาพสารพัด ที่เจเจจะสรรมาให้ แต่สิ่งที่ทำให้ขาโมเมแข็งแรงขึ้นมาได้อย่างจริงจัง คือ อากาศชนบทที่บริสุทธิ์ บริเวณสวนอันกว้างใหญ่ พื้นดินที่สูงต่ำตามธรรมชาติ โมเมโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหมาหนุ่มรูปหล่อมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ทั่วร่างกาย ยกเว้นส่วนท้ายที่โตไม่ทันส่วนอื่นๆนัก แต่ก็ใกล้ปกติขึ้นอย่างนึกไม่ถึง


สำหรับเจเจ คุณสมบัติสำคัญของคนดูแลบ้านน้ำสานที่เลือกสรรมา คือความเป็นคนรักหมา ทำสวนไม่เก่งไม่เป็นไร ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองตายาย ต้องทำความตกลงกันเป็นทางการว่าคนดูแลบ้าน

น้ำสาน “จะต้องรักหมาและทำสวนเป็น ตลอดจนไม่เอนเอียงเข้าข้างหมา หรือเข้าข้างสวนจนขาดความเป็นธรรมต่อฝ่าย คุณผู้ชาย หรือ คุณหญิง”


โมเมนับเป็นหมาที่สวรรค์ส่งมาสำหรับคนดูแลสวน ที่จะต้องแบกภาระการรักษาความเป็นกลางนี้ เพราะโมเมรักสวนและการทำสวนเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าใครจะขุดดิน โมเมจะช่วยขุด ใครจะตัดต้นไม้โมเมจะจ้องมอง กระดิกหางให้กำลังใจ ตั้งท่ารวมสมาธิพร้อมเข้าช่วยได้ทันทีที่จำเป็น บางครั้งก็พยายามคาบด้ามเลื่อยเพื่อทุ่นแรงคน ทำให้เกิดความชุลมุนได้เป็นครั้งคราว ถ้าจะต้องใช้เชือกโยงดึงกิ่งใหญ่ที่จะต้องตัดไม่ให้ล้มไปทางใดทางหนึ่ง ก็จะเอาปากงับเชือกช่วยดึง จนมีเสียง “โมเมไม่ต้องช่วย…” ดังมาให้ได้ยินเป็นประจำ ไม่ว่าคนสวนจะขุดแห้วหมู ขุดไมยราบ ตรงไหน โมเมก็จะตามไปด้วยเผื่อจะช่วยลากกระบุง ดึงบุ้งกี๋ ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าโมเม เห็นภาพตัวเองเป็นคนสวนคนหนึ่งของบ้านน้ำสาน


แต่ถึงอย่างไรโมเมก็ยังเป็นหมาอยู่ดี ในเรื่องการกัดต้นไม้ ซึ่งมีบ้างจนกระทั่งเริ่มเข้าใจว่าเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ทุกคนไม่พอใจ และทำให้ถูกลงโทษ จึงหันมาลับคมฟันกับเฟอร์นิเจอร์แทน

ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าขอเล่าอย่างค่อนข้างละเอียด ถึงการเรียนรู้ยามแก่ของตนเอง จากปัญหาหมากัดเฟอร์นิเจอร์

โมเม และหมาน้ำสานตัวต่อๆ ไป ในช่วงที่แต่ละตัวกำลังผ่านวัยลับคมฟัน จะชอบกัดต้นไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นที่ปลูกใหม่หรือกิ่งที่งอกใหม่ๆ และโต๊ะเก้าอี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำด้วยไม้ ดูเสมือนว่า

ของต้องห้ามทั้งสองอย่างนี้ น่าแทะกว่าของเล่นหรือกระดูกเทียมที่ผลิตเพื่อสนองความหมั่นเขี้ยวของ

สุนัขโดยตรงหลายเท่า เครื่องลองฟันที่อาจจะมีเสน่ห์มากกว่าเครื่องเรือนไม้ คือกระดูกต้นขาหมูชิ้นใหญ่ๆ ซึ่งหมาน้ำสานตัวใหญ่ๆ สามารถเคี้ยวเป็นจุณและกลืนเข้าไปได้หมดในเวลาอันสั้น แต่เราก็ระวังที่จะไม่ให้กระดูกบ่อยจนเกินไปนัก ด้วยเกรงว่าจะเข้าไปทำอันตรายกับระบบการย่อยและทางเดินอาหาร


ประมาณ 2–3 เดือนหลังจากโมเมมาอยู่บ้านน้ำสาน ข้าพเจ้าก็บอกเจเจด้วยน้ำเสียงเอางานเอาการว่า ต้นไม้ที่ลงใหม่ๆ กำลังจะตายหมด ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็เริ่มมีรอยแทะ ทั้งสองเรื่องถือเป็นความสูญเสียทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสุนทรียภาพอย่างยอมไม่ได้

“จะให้กัดต้นไม้หรือเก้าอี้” เจเจย้อนถามข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ชี้ชัดว่าจะไม่มีการเปิดทางเลือกอื่น เพราะก่อนหน้านั้น เจเจได้แอบลูบหัวกระซิบกระซาบอนุโลมให้โมเมกัดโต๊ะเก้าอี้ได้ แต่อย่าทำให้แม่โกรธด้วยการกัดต้นไม้

การกระทำนี้ของเจเจสร้างความสั่นสะเทือนต่อสัมพันธ์ภาพระหว่างเราทั้งสองเป็นอย่างมาก แต่ข้าพเจ้าก็พยายามมองในแง่ดีว่าเจเจทำไปเพราะเห็นว่าสุขภาพจิตข้าพเจ้าอยู่ในขั้นดีพอสมควร ในขณะที่สุขภาพจิตโมเมยังจะต้องได้รับการพัฒนา

เพื่อระงับ “วิกฤตการหมาแทะ” ข้าพเจ้าจึงลงมือร่างสัญญาสงบศึกฉบับย่อยว่าด้วย “เขตปลอดหมา” และ “เขตคนกับหมา” ให้เจเจพิจารณา นับเป็นโชคดีที่เจเจยอมทำสัญญานี้อย่างไม่อิดเอื้อน คือ ให้ส่วนที่เป็นโถงระเบียงโล่งหน้าบ้านซึ่งเราใช้สำหรับอาหารกลางวันและเย็นเป็น “เขตคนกับหมา” ส่วนระเบียงหลังที่ติดกับครัวที่เราใช้สำหรับมื้อเช้าเป็น “เขตปลอดหมา” หมาทุกตัวถูกฝึกไม่ให้ย่ำกรายในส่วนนี้ ยกเว้น “แหลม” สาวเปรี้ยว พันธุ์มินิเจอร์พินเชอร์ (miniture pincher) ซึ่งเป็นสมาชิกชั่วคราวระดับยาวของหมาน้ำสาน (เราจะทำความรู้จักกับแหลมให้มากกว่านี้เมื่อถึงเวลาอันควร)



เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งเริ่มคลี่คลาย เจเจก็ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นว่า บ้านน้ำสาน มีบรรยากาศงดงามแบบชนบท โต๊ะเก้าอี้ในโถงระเบียงก็เป็นประเภทที่ปิ่นให้ช่างชาวบ้านทำขึ้นมาด้วยไม้เนื้อแข็งท่อนไหญ่ๆ ที่

ไม่ได้ขัดเกลาจนสูญเสียความเป็นเฟอร์นิเจอร์ลูกทุ่ง ฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นโต๊ะเก้าอี้ที่เราใช้รับแขกทุกระดับที่มาเยือนบ้านน้ำสาน ไม่เว้นแม้ระดับทูตานุทูต รอยหมาแทะตามขาหรือที่มุมที่นั่งย่อมเสริมเสน่ห์เชิง

ลูกทุ่งให้กับบรรยากาศ โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายหรือความไม่สะดวกสบายอันใดกับอาคันตุกะทั้งหลายของเรา มิหนำซ้ำยังเป็นจุดที่เอื้อกับการชวนพูดชวนคุยชวนหัวเราะอีกด้วย


ข้าพเจ้าก็ได้เรียนรู้ว่า ความสุขในบ้านสำคัญกว่าเฟอร์นิเจอร์โถงระเบียงเป็นไหนๆ เก้าอี้บ้านสวนที่หนักๆ ของเรามุมจะแหว่ง ขาจะวิ่นไปบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตหรือสุนทรียภาพบ้านน้ำสานลดถอยไปแต่ประการใด ถ้าไม่เอาหน้าตาตัวตน ศักดิ์ศรี ความโก้เก๋ ของคนเป็นเจ้าของไปผูกติดโต๊ะเก้าอี้ สำหรับโมเมนั้นพอโตขึ้นหนุ่มเข้า ก็เลิกแทะโต๊ะเก้าอี้ไปเอง ลูกหมาน้ำสานตัวต่อๆ ก็ได้รับอนุญาตให้แทะโต๊ะเก้าอี้ในเขตคน-หมาได้ โดยไม่ถูกทำโทษ ถึงแม้จะบางครั้งจะแทะได้ไม่เต็มที่ เพราะแม่บ้านภรรยาคนสวนแอบเอายารสขมที่สุนัขไม่ชอบไปทาไว้

โมเมโตวันโตคืน เจเจกับข้าพเจ้าไปบ้านน้ำสานครั้งใดก็ต้องแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและวุฒิภาวะของหมาน้ำสานตัวแรกของเรานี้ จากเป็นหมากระป้อกระแป้ แบบบาง วิ่งไม่ไหว กลายเป็นหมาที่แข็งแรง ล่ำสัน จากหมาหน้าแหลมมนสวยหวานแบบโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าเข้มกระโหลกกว้าง หน้าผากงอกละม้ายไปทางร๊อทไวเลอร์ ที่ใครมองแล้วอดที่จะเกิดหวั่นเกรงลึกๆ ไม่ได้

แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น จะต้องขอเล่าถึงความสัมพันธ์ของโมเมกับหมาน้ำสานอีกตัวหนึ่งซึ่งอาจโต้เถียงได้ว่ามีสิทธิมากกว่าโมโมที่จะเรียกตัวเองว่าเป็น หมาน้ำสานตัวแรก หมาตัวนี้เป็นหมาตัวเมียชื่อว่า “แม่นาก” ซึ่งเป็นหมาเตี้ยขาสั้นที่เจ้าระเบียบและมีตัวตนสูงมาก

 





ดู 7 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ที่คล้ายกัน

ดูทั้งหมด
bottom of page