LONELINESS
- supita reongjit
- 28 พ.ค. 2566
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 5 ก.ค. 2567
Chamnongsri Rutnin
Loneliness is sometimes
grey, mute and pale
with claws outstretched
to clutch the heart
and strangle the breath
It sometimes sings
song of a canary
a caged crystal melody
that stares out
at an unhearing crowd
And there are times
when I've seen it gleam
like a dew-fed flower
quiet, pure and calm
looking out of darkness
at the screaming sun
(From: On The White Empty Page)
บันทึกท้ายบท
สำหรับบทกวี Loneliness คุณหญิงจำนงศรีได้เล่าถึง ‘ความเหงา’ ไว้ว่า
“ เรื่องของความเหงา ถ้าเขียนในตอนที่ไปปฏิบัติธรรมจะเขียนออกมาอีกมุมหนึ่งเลย***เราเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นในใจเรา มันคือกลไกของความเหงา ทำไมมันถึงได้เกิดมาเป็นความเหงา อันนั้นจะอยู่ใน 'ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง' เพราะเราไปปฏิบัติธรรมแล้วเราเริ่มมองเห็นสิ่งที่มันควรจะเป็น
แต่ความเหงาอันนี้ คือการที่พยายามจะอธิบายประสบการณ์ของความรู้สึกที่เกี่ยวกับความเหงา มันจะเป็นคนละแบบกัน เราจะมองความเหงาตามหน้าตาของมัน ไม่ใช่ตามกลไก เราจะมองหน้าตาของมันโดยเขียนถึงมันในรูปลักษณ์ของมันที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกของเรา
เราจะเห็นเป็น 3 หน้า อันแรกเป็นความเหงาชนิดหนึ่ง ที่มันเหมือนบีบหัวใจ มันเค้นคอ อันนี้เป็นความเหงาที่จะนำไปสู่ Depression
ส่วนอีกหน้าของความเหงา อันนี้เป็นหน้าที่มีความสุขและมีความงดงามของมันเอง เหมือนเสียงเพลงของนกที่ไพเราะมากที่ร้องออกมาจากใจ แต่ฝูงชนไม่แคร์เลย ไม่เห็นและไม่ฟัง ซึ่งอันนี้เป็นความเหงาอีกประเภทหนึ่งซึ่งไม่เหมือนประเภทแรกเลย
แล้วก็มีบางเวลาที่เราเห็นความเหงามีแสงที่นุ่มนวลและงดงามเหมือนดอกไม้ที่อิ่มน้ำค้าง มันเงียบ สงบ บริสุทธิ์ มันมองออกมาจากความมืด โดยมองมาที่แสงสว่างของพระอาทิตย์ที่จัดมาก โดยมองออกมาจากความมืดที่สงบและงดงาม ความเหงาเป็นเช่นนี้
เพราะฉะนั้นอันแรกที่เราเห็นว่ามันมีความหม่นๆ คั้นหัวใจ มันจะหายใจไม่ออก มันเป็นความเหงาที่ทำลาย แต่อีก 2 อันเป็นอะไรที่สร้างความนุ่มลึกให้กับตัวเราเอง เป็นความสุขภายใน มันก็เลยต่างจากความเหงาใน 'ฝนตกยังต้องฟ้าร้องยังถึง' ซึ่งอันนั้นเราเพียงแค่สังเกตว่ามันมายังไง กลไกยังไง มันคนละแบบกัน อันนั้นเป็นบันทึกด้วยสติและสมอง แต่อันนี้มันคือการสัมผัส ไม่มีคำพูดอะไรที่ตรงตามที่อยากจะพูดได้”
ในวัย 80 ที่คนวัยเดียวกันจำนวนมากตกอยู่ในความเหงาและว้าเหว่ ‘ป้าศรี’ กลับไม่เหงา ไม่ใช่เพราะมีครอบครัวและบริวารรายล้อม ตรงกันข้ามหลายครั้งที่เลือกปลีกวิเวกไปอยู่ตามลำพังอย่างเป็นสุขและ ‘ไม่เหงา’
“สำหรับตัวเองตอนนี้มันไม่เหงาเลย เหมือนเรามาถึงจุดหนึ่งที่อยู่คนเดียวก็ไม่เหงา แต่อันนี้มันอาจจะเป็นก้าวที่เราผ่านมาแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็ไม่เหงาเลย ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนเหงาเก่งมาก ทางที่ผ่านมามันจึงเป็นอะไรที่มีค่า และการวิเคราะห์มันก็เป็นอะไรที่มีค่า..และอยากจะให้คนอื่นๆ รวมถึงลูก หลานได้เข้าใจ”
(28 กรกฎาคม 2565)
****เจ้าตัวเหงา
(จากหนังสือ ฝนตกยังต้องฟ้าร้องยังถึง)
เจ้าตัวเหงา...อยู่ไม่ห่างจากเจ้าตัวเบื่อสักเท่าไร
แตกรากผลิใบจากความอยากเหมือนกัน
อยากหนีออกจากตัวเอง
อยากให้มีใครอื่นมาเข้าใจ
ใจดิ้นรนออกไปไขว่คว้า หวนไห้ โหยหา
วิธีแก้ก็เหมือนแก้เบื่อนั่นแหละ
มองลึกเข้าไปข้างในที่ใจ จ้องดูความนึกคิด
ดูเข้าไปสิ ดูลึกเข้าไป
ต้องระวังไม่ถลำหลุดเข้าไปในบ่วงคิด
ปราบเจ้าตัวเหงายากกว่าเอาชนะเจ้าตัวเบื่อ
เพราะความสงสารตัวเองเข้ามาเป็นใหญ่
เข้ามาพองคับอยู่ในความโหว่ข้างใน
ความโหว่ที่ปิดไว้ไม่ให้ตัวเองเห็น
ดูหน้าเจ้าตัวเหงาให้เห็นซิ
มองเข้าไปให้เห็นชัดได้เมื่อใด มันก็จะตายสนิท
Kommentare