ศิริธร ชยารักษ์ & น.พ.สรรพัฒน์ รัตนิน
เรื่อง พรรณวดี

ดอกไม้ในเรือนใจ
เธอ...เป็นเดอกไม้งามอร่ามเรือน
เธอ...เป็นเพื่อนเหมือนใจปรารถนา
เธอ...มีจิตเปรบปริ่มอิ่มเมตตา
เธอ...มีตาใสสวยด้วยแสงธรรม
คำกลอนนี้ คุณหญิงจำนงศรี รัตนิน บรรจงแต่งให้กับคู่บ่าว-สาว เพื่อนำลงพิมพ์ในสมุดไดอารี่ทำ
เป็นของชำร่วยแจกแก่แขกผู้มีเกียรติที่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงฉลองสมรสพระราชทานของศิริธร ชยารักษ์ และ น.พ.สรรพัฒน์ รัตนิน
ความรักที่เกิดในต่างแดน แต่ก็ยังคงความเป็นแบบอย่างของประเพณีแบบไทย...ไทย แม้ว่า น.พ.สรรพัฒน์ รัตนิน หรือ 'คุณไต๋' จะไปศึกษายังประเทศอังกฤษนานถึง 13 ปี จนจบวิชาทางด้านการแพทย์และไปศึกษาทางด้านตา (Opthalmology) ต่อที่ University of Toronto ประเทศแคนาดา จนได้พบกับสาวน้อยหน้าใสที่มีอายุน้อยกว่าถึง 9 ปีด้วยความที่เธอเป็นสาวไทยแต่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่แคนาดาตั้งแต่อายุ
เพียง 2 ขวบแต่ก็ยังรักษาวัฒนธรรมประเพณีของไทยทำให้เกิดความประทับใจตั้งแต่แรกพบ เพราะการทักทายแบบไทยๆ ด้วยการยกมือไหว้สวัสดีนั่นเอง จนทำให้คุณไต๋เกิดความประทับใจในตัวของ 'คุณเป้า' หรือ ศิริธร ชยารักษ์ ทันที
ส่วนคุณเป้านั้นรู้สึกประทับใจในตัวคุณไต๋ครั้งแรก ก็ตรงที่คุณไต๋เคยผ่านการเรียนมาในสายอาชีพที่กำลังสนใจที่อยากจะเรียนก็เลยถือเป็นรุ่นพี่ที่จะขอคำแนะนำก็เลยได้รุ่นพี่ที่สนใจหาข้อมูลให้อย่างเต็มที่
อีกทั้งครั้งหนึ่งเคยพาไปเก็บดวงตาของผู้เสียชีวิต ที่ได้บริจาคดวงตาให้กับทางโรงพยาบาล โดยให้ได้เรียนรู้วิชาการที่คุณเป้าสนใจ กับของจริงด้วยการเจาะแก้วตาข้างหนึ่งให้ดูเป็นตัวอย่างและให้คุณเป้าลองทำอีกข้างด้วยตัวเอง จึงเป็นความประทับใจที่มีให้ต่อกันและกัน คุณเป้าได้เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมาว่า...
"เป้าจำได้ว่าคุณพ่อบอกกับที่บ้านว่าวันนี้จะมีแขก ที่เป้ายังไม่รู้จักจะมางานปาร์ตี้ที่บ้านที่จัดขึ้นด้วย
เพราะคุณพ่อไปพบในงานหนึ่งก่อนหน้านั้น ก็เลยเชิญมาที่บ้านของเรา เขาเป็น หมอ มีวิชาชีพที่เป้าสนใจอยากเรียนอาจจะได้เขามาชี้แนะเมื่อคุณไต๋มาถึง เป้าก็เป็นคนที่ไปเปิดประตูรับเอง เราก็เลยเริ่มรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งเป้ายังเรียนอยู่ที่ไฮสกูลอยู่เลย และหลังจากคบคุณไต๋แล้วเราก็คุยกันว่า ถ้าจะแต่งงานกันและทั้งสองคนเป็นหมอ ก็จะเหนื่อยเกินไปสำหรับการมีชีวิตครอบครัวร่วมกัน เป้าก็เลยหันมาเรียน MBA ซึ่งตอนนี้ยังเรียนต่อที่ศศินทร์ จุฬาฯ"
"ส่วนคุณไต๋ ขณะนี้เป็นอาจารย์สอนที่โรงพยาบาลรามา และรับรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตารัตนินด้วยก็เป็นการกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทยอีกครั้งของเป้า หลังจากที่จากไปนานแม้จะมีการกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างก็ตาม เพราะการกลับมาเยี่ยมบ้านนั้นส่วนใหญ่จะได้รับการเทคแคร์จากญาติๆ และอยู่ไม่นานก็กลับไป แต่หลังแต่งงานแล้วก็ต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เลย ก็รู้สึกว่าจะต้องปรับตัวมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
รถติด ถนนหนทางที่จะต้องเรียนรู้เพื่อจำทางให้ได้ ตอนนี้ก็จำได้แค่ถนนบางเส้นทางเท่านั้นเอง แต่เรื่องพูดภาษาไทยไม่มีปัญหา เพราะปกติที่บ้านที่แคนาดาก็บังคับให้พูดไทยกันอยู่แล้ว จะมีบ้างก็ภาษาเขียนเท่านั้นเองค่ะ ที่ยังไม่คล่องเท่าภาษาอังกฤษ"

คุณเป้าเล่าถึงคุณพ่อสมหมายและคุณแม่เบญจวรรณ ชยารักษ์ ว่า
"คุณพ่อถึงจะย้ายครอบครัวไปอยู่ยังแคนาดาแล้วก็ตาม แต่คุณพ่อก็ไม่ลืมศาสนาพุทธ ท่านก็เป็นหนึ่งในหลายท่านที่ริเริ่ม และดูแลวัดไทยในโตรอนโต้ด้วย แต่ตอนที่เราหมั้นกันนั้น คุณแม่คุณไต๋เป็นคนหาฤกษ์ที่เมืองไทยและไปหมั้นกันที่โตรอนโต้ คุณพ่อก็เลยจัดงานปาร์ตี้ให้บนเรือล่องลำน้ำและมีจุดพลุด้วยนะคะ สวยมากและเป็นความประทับใจอีกแบบ ซึ่งเราหมั้นกันเมื่อปี 2538 และได้ฤกษ์รับน้ำสังข์พระราชทานจากในหลวงฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2538 แต่เผอิญอยู่ในช่วงที่ในหลวงฯ ทรงไว้ทุกข์ให้กับสมเด็จย่า พระองค์ท่านก็เลยไม่ทรงประกอบพิธีใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าคู่ไหนรอไม่ได้ก็จะจัดงานเลยก็ได้ ก็ยังได้ชื่อว่าสมรสพระราชทานเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีพิธีรดน้ำเท่านั้น คู่ของเราก็อยากแต่งตอนนั้น แต่เราก็ยอมเลื่อน เพื่อที่จะรอ ซึ่งก็คุ้มกับการรอคอยในครั้งนี้ เราทั้งคู่ประทับใจพระองค์ท่านมากเลย พระองค์ท่านพระราชทานพรให้เราลึกซึ้งมาก ซึ่งเป้าจับใจความได้ว่า ให้เราสองคนทำชีวิตให้มั่นคง ทำความดี เพื่อให้ชีวิตคู่ของเราเองมีความสุข และสามารถทำประโยชน์ให้กับคนรอบข้างและบ้านเมืองได้"
คุณเป้าเล่าถึงคุณพ่อคุณไต๋...ก็คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์อุทัยและคุณแม่ คุณหญิงจำนงศรี รัตนิน
ที่ได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาตลอด และพระองค์ทรงเมตตาให้กับครอบครัวของคุณไต๋มาตลอดไม่ว่าจะงานพระราชทานเพลิงศพคุณพ่อ เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งทำให้คุณเป้าได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดพระองค์เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตเป็นครั้งที่ 2 และเป็นความประทับใจและดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่ยอมทนรองานครั้งนี้ แม้จะต้องเลื่อนงานเลี้ยงฉลองสมรสพระราชทานออกมาเป็นปีก็ตาม
แม้คุณเป้าและคุณไต๋จะสัมผัสกับสถานที่จัดงานไม่นานนัก แต่เมื่อคุณแม่พาไปรับประทานอาหาร
กลางวันที่โรงแรมเอราวัณ ทำให้เกิดความประทับใจในรสชาติของอาหาร อีกทั้งสถานที่ก็ดูสวยงามจึงตกลงใจที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองสมรสพระราชทานขึ้นที่นี่ โดยจองห้องแกรนด์บอลรูมไว้ และของชำร่วยที่ทั้งคู่เลือกนั้น ต้องการให้เป็นของที่นำไปใช้ได้ จึงเลือกที่จะแจกเป็นไดอารี่ โดยได้คุณแม่คุณไต๋แต่งบทกลอนให้ และคุณป้าคุณเป้าที่แคนาดาบรรจังวาดรูปดอกไม้ให้ และพี่ชายคุณไต๋ที่มีบริษัทวิส-อาร์ต จำกัดจัดพิมพ์ให้ จึงเป็นของชำร่วยที่เกิดจากการร่วมแรงและร่วมใจภายในครอบครัวทำกันขึ้นมาเองทั้งหมด
หลังแต่งงานคุณไต๋และคุณเป้าตกลงใจที่จะไปมินิฮันนีมูนกันที่เกาะสมุยด้วย เพราะมีใจรักทะเลเหมือนกัน
ที่เรียกว่ามินิฮันนีมูนนั้น เพราะทั้งคู่เตรียมไปฮันนีมูนจริงๆ แถวยุโรป แต่เพราะคุณไต๋ยังติดภาระหน้าที่
ที่จะลาหยุดยังไม่ได้ จึงมีมินิฮันนีมูนขึ้นมานี่เอง
และด้วยทั้งคู่เป็นคอกไม่ในเรือนใจของกันและกัน ความรักจึงหวานชื่นในต่างแดนมานานถึง 9 ปี จึงมีวันหวานครั้งหนึ่งในชีวิตที่เมืองไทยของคู่ ศิริธร & น.พ.สรรพัฒน์ รัตนิน
จาก: คอลัมน์ ชีวิตหวาน นิตยสารกุลสตรี ปีที 26 ฉบับที่ 611 มิถุนายน 2539